"แกจะคิดไปทำไม"

ในที่สุด เมื่อวันศุกร์(23 ธันวา)ที่ผ่านมา(นานแล้ว)นี้ ผมก็แก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ข้อนึงที่ผมตั้งขึ้นมาเองได้สำเร็จ (โดยได้รับความช่วยเหลือจากโพ)
ซึ่งผมภูมิใจมากๆครับ
ปัญหาที่ว่าก็คือ ผมจินตนาการสงสัยถึงการเคลื่อนที่ของ ปากกาที่ตั้งอยู่และเกิดถูกไสลด์ ทำให้ปลายปากกาเคลื่อนออกไปทิศใดทิศหนึ่ง โดยถ้าเรามองจากด้านบน หัวปากกายังคงอยู่ที่ตำแหน่งเดิม (ถ้าสงสัยนึกภาพไม่ออก ก็ลองดูรูปกราฟนะครับ ตัวปากกาคือเส้นสีเขียว)
คือจะเห็นได้ว่า ถ้าเราถ่ายรูปปากกาแชะๆไว้แต่ละช็อต แล้วเอาทุกช็อตมาซ้อนกัน เราก็จะเห็นเส้นโค้งด้วยแหล่ะ (ซึ่งก็คือเส้นสีส้มนั้นเอง) ผมก็เกิดตะหงิดๆว่า ไอ้เส้นๆนี้มันเป็นยังไง
มันเขียนเป็นสมการได้ว่ายังไงกันนะ !!!
y = sin3( cos-1( x1/3 ) )
ฮูวเร่! ผมได้มันมาหลังจากคิดอยู่ 2 วัน หลังจากคิดสมการผิดๆไป 2 สมการ และได้รับความช่วยเหลือจากโพในการแก้สมการเกี่ยวกับลิมิตและแคลคูลัส
ผมชอบมันมากๆเลยครับ เพราะมันสั้นและสวยงาม ไม่เหมือนกับสมการ 2 สมการแรกอัน ยุ่ง+ยาก+ยาว ที่คิดเอาไว้ ซึ่งมันผิดอีกต่างหาก
และต้องบอกว่า ผมรู้สึกถึงขั้นดีใจมากๆ ที่ทำได้ มันเป็นอะไรที่น่าดีใจมากนะครับกับการที่ เราเกิดนึกสงสัยอะไรขึ้นมา แล้วเราก็ได้คำตอบออกมาด้วยวิธีคิดของตัวเราเอง
เทียบกับการแก้โจทย์เลขในห้องเรียนที่ถูกยัดโจทย์มาให้ทำในเรื่องที่เพิ่งเรียน ความรู้สึกก็เหมือนฟ้ากับเหวเลยมั้งครับ
ที่จริง จุดหนึ่งที่ทำให้ผมดีใจ ก็คงเพราะว่ามันเป็นโจทย์ที่ผมใช้ความพยายามอยู่มากเหมือนกัน
ลองนึกถึงถ้าผมสงสัยแล้วคิดได้เลย ก็คงไม่ดีใจเท่าไหร่
แต่ผมถึงกับเสียเวลาคิดสมการผิดๆไปถึง 2 สมการ และยังต้องให้โพช่วยเหลือในกระบวนการบางส่วนอีกด้วย พอได้คำตอบออกมาก็เลยดีใจมากหน่อย
งานอะไรเราทุ่มเทมาก ให้เวลากับมันมาก เราก็จะเห็นมันมีค่ามาก รู้สึกมันเป็นส่วนหนึ่งของเรามาก และเมื่องานสำเร็จ เราก็จะดีใจมาก
ฉะนั้นจึงทำให้การแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ครั้งนี้ พิเศษกว่าครั้งก่อนๆมา เพราะครั้งก่อนๆนั้น มันเหมือนกับบังเอิญสังเกตแล้วปิ๊ง!.... ได้คำตอบ
ในชีวิตผม การค้นพบเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ของผมที่ยังอยู่ในความทรงจำ นั้นมีเหลืออยู่อีก 2 ครั้งเท่านั้น (ที่จริงก็ไม่รู้ว่ามีมากกว่านี้หรือเปล่า แหะๆ)
ครั้งแรกตอนอยู่ประมาณ ป.5-ป.6 ครับ(หรือราวๆนั้น) เป็นชั่วโมงอิสระพัฒนาตน ผมขึ้นไปพูดหน้าระดับเกี่ยวกับสูตรการคูณเลข 2 ตัวที่ลงท้ายด้วยเลข 5
เรื่องก็มีอยู่ว่า ตอนนั้นผมเพิ่งทราบสูตรการยกกำลัง 2 ของเลขที่ลงท้ายด้วยเลข 5 ( ตัวอย่างเช่น 35*35 ให้เอา (3+1)*3 มาต่อหน้าเลข 25 ฉะนั้นคำตอบก็คือ 1225 หรือ 115*115 ก็เป็น 12*11 ต่อหน้า 25 เป็น 13225 )
เวลาบ่ายๆของวันหนึ่ง ผมนอนเบื่ออยู่บนเตียง นอนอยู่ข้างๆเครื่องคิดเลข
ความสงสัยก็ผุดมาว่า ถ้านำตัวเลขที่ลงท้ายด้วยเลข 5 แต่ไม่ได้นำมาคูณกันเอง(นำมายกกำลัง 2) หากแต่เอามาคูณเลขที่ลงท้ายด้วย 5 ตัวอื่น จะได้ผลออกมาเป็นอย่างไร จะมีสูตรสำเร็จบ้างไหม...
ผมนั้นกดเครื่องคิดเลขอยู่ซัก 15 นาทีถึงครึ่งชั่วโมงก็เริ่ม เอ่ะใจว่า มันมีความสัมพันธ์อยู่ จึงไปทดเลขในกระดาษไปๆมาๆ ก็ได้สูตรมา ผมรู้สึกดีใจมากเหมือนกัน
ผมยังจำได้ชัดเจนถึงวันที่ ผมอธิบายเรื่องนี้หน้าระดับชั้นในอาคารอุบล แต่จนถึงวันนี้ผมยังไม่แน่ใจว่า คนเข้าใจที่ผมพูดหรือเปล่า (สูตรที่ผมว่า เอาเข้าจริงๆมันอาจไม่ได้ทำให้เร็วขึ้นเท่าไหร่เลย 555 ถ้าไม่คล่อง) หรือว่าเพราะผมพูดน่าเบื่อไม่ทราบ...
ครั้งต่อมา ตอนนั้นเรียนพิเศษเลขเพื่อเตรียมสอบ สสวท. คอมพิวเตอร์ เรียนกับพี่นัทครับ ก็เกิดคิด วิธีลัดหาว่าเลขติดแฟกทอเรียลเลขหนึ่งจะมี จำนวน x เป็นตัวประกอบกี่ตัว ขึ้นมาได้ (ตัวอย่าง 6! = 6*5*4*3*2*1 = 2^4 * 3^2 ถ้าถามว่า 6! มี 2 เป็นตัวประกอบกี่ตัว ก็คือ 4 ตัว)
เราก็เรียกกันวิธีคิดของผมนี้ในกลุ่มเล็กๆที่เรียนพิเศษว่า eig's method
ก็ถือเป็นความภูมิใจเล็กๆครับ
แต่ต่อมาผมพบว่า เรื่องที่ผมคิดได้นี้ มีอยู่แล้วในเรื่องบทเรียนของสถาบันเรียนพิเศษ (ซะงั้น!)
ล่าสุดก็คือ สมการปากกาแสนสวยงามของผมนี้แหล่ะครับ
y = sin3( cos-1( x1/3 ) )
ที่จริงแล้ว... ทั้ง 3 เรื่องนี้ ที่เป็นเรื่องซึ่งผมถือเสียว่าผมค้นพบด้วยตัวเองนี้ เป็นไปได้สูงมากทีเดียวที่จะมีการค้นพบมาก่อนนานแล้วและเป็นเรื่องที่ธรรมดามากๆ
ผมอาจมองมุมกลับมาว่า เราจะเสียเวลากับสิ่งที่มีอยู่แล้วเพื่ออะไร เราไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ได้ค้นพบอะไรเลย
คือ อาจจะเสียเวลา แต่ผมว่าสนุกดี
ผมเชื่อว่า มันไม่น่าลังเลครับ ที่จะทำในสิ่งที่เราสนุก ถ้าประโยชน์ที่ได้คุ้มกับเวลาที่เสีย
ก็บอกแบบนี้ก็เพราะว่า ผมคิดว่ามันน่าลังเลเหมือนกัน ถ้าจะทำอะไรก็ตามที่ได้ประโยชน์คุ้มกับเวลาที่เสียไป
แต่เราไม่สนุก...
ผมชอบนึกเสมอๆ ถึงคนๆหนึ่ง ที่ตั้งใจเรียนเอาเป็นเอาตาย ทุกๆวันอดทนขยันเพื่อจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยในคณะคะแนนสูงลิบ ไม่ทำอะไรอย่างอื่นนอกจากอ่านหนังสือ จะมีบ้างที่แบ่งเวลาไปอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ หรืออ่านตำราเล่นหุ้น
และก่อนวันสอบ เขาถูกรถชนตาย...
คงเป็นชีวิตที่ไม่สนุกเอาซะเลย ที่อดทนทำทุกๆอย่างเพื่อประโยชน์ในอนาคตเพียงอย่างเดียว
(เรื่องข้างบนเป็นเรื่องสมมตินะครับ)
กลับเรื่องเดิม
ผมคิดว่าการคิดวิธีการอะไรก็ตามที่เราไม่เคยรู้มาก่อนด้วยตัวเองนั้น ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรมากกว่าการเราทำความเข้าใจวิธีการของคนอื่นหลายเท่าตัว
กระบวนการคิดสมการครั้งล่าสุดนี้ ผมเริ่มต้นด้วยการสังเกตและจินตนาการการเคลื่อนที่ของปากกา แปลงมันเข้ามาในรูปของปัญหาทางคณิตศาสตร์ ทดลองใช้ความรู้ทางคณิตศาสตร์หลายๆด้านที่เคยเรียนมามาหาคำตอบ ผมคิดสมการออกมาแล้วตรวจหาจุดบอดว่าผิดหรือไม่ มันผิดไป 2 ครั้ง ผมคิดต่อไป และได้สิ่งที่ถูกต้อง(รึเปล่า?)ออกมา
เทียบกับการดูสูตร ดูที่มา ทำความเข้าใจ แล้วร้องอ๋อ (บางคนดูสูตรแล้วจำ แล้วจบ) ตามแบบฉบับการเรียนในห้องเรียนนั้น "กระบวนการคิด"ที่ผมได้ฝึกนั้น ผมคิดว่าแตกต่างกันมาก
ผมอยากให้การศึกษาของไทยเรา ฝึกคนให้ตั้งคำถามในชีวิต และหาคำตอบด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มากขึ้นกว่านี้
นี้มันไม่ใช่เรื่องที่อยู่แค่ในห้องเรียนหรือวิชาชีพ แต่มันเป็นวิถีการดำเนินชีวิตของคน
การเชื่ออะไรซักอย่างด้วยความไร้สาเหตุ...
การกู้เงินบริษัทสินเชื่อเกินตัว...
การใช้บัตรเครดิตทบหนี้บัตรเครดิตเดิมจนหนี้ล้น...
การเรียนแบบจำแล้วสะสมความไม่เข้าใจไป ทุกปีๆ...
ฯลฯ
เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดกับคนไทยครับ เพียงแค่เราไม่ขี้เกียจที่จะฝึก "คิด" สักนิด
ซึ่งผมภูมิใจมากๆครับ
ปัญหาที่ว่าก็คือ ผมจินตนาการสงสัยถึงการเคลื่อนที่ของ ปากกาที่ตั้งอยู่และเกิดถูกไสลด์ ทำให้ปลายปากกาเคลื่อนออกไปทิศใดทิศหนึ่ง โดยถ้าเรามองจากด้านบน หัวปากกายังคงอยู่ที่ตำแหน่งเดิม (ถ้าสงสัยนึกภาพไม่ออก ก็ลองดูรูปกราฟนะครับ ตัวปากกาคือเส้นสีเขียว)
คือจะเห็นได้ว่า ถ้าเราถ่ายรูปปากกาแชะๆไว้แต่ละช็อต แล้วเอาทุกช็อตมาซ้อนกัน เราก็จะเห็นเส้นโค้งด้วยแหล่ะ (ซึ่งก็คือเส้นสีส้มนั้นเอง) ผมก็เกิดตะหงิดๆว่า ไอ้เส้นๆนี้มันเป็นยังไง
มันเขียนเป็นสมการได้ว่ายังไงกันนะ !!!
y = sin3( cos-1( x1/3 ) )
ฮูวเร่! ผมได้มันมาหลังจากคิดอยู่ 2 วัน หลังจากคิดสมการผิดๆไป 2 สมการ และได้รับความช่วยเหลือจากโพในการแก้สมการเกี่ยวกับลิมิตและแคลคูลัส
ผมชอบมันมากๆเลยครับ เพราะมันสั้นและสวยงาม ไม่เหมือนกับสมการ 2 สมการแรกอัน ยุ่ง+ยาก+ยาว ที่คิดเอาไว้ ซึ่งมันผิดอีกต่างหาก
และต้องบอกว่า ผมรู้สึกถึงขั้นดีใจมากๆ ที่ทำได้ มันเป็นอะไรที่น่าดีใจมากนะครับกับการที่ เราเกิดนึกสงสัยอะไรขึ้นมา แล้วเราก็ได้คำตอบออกมาด้วยวิธีคิดของตัวเราเอง
เทียบกับการแก้โจทย์เลขในห้องเรียนที่ถูกยัดโจทย์มาให้ทำในเรื่องที่เพิ่งเรียน ความรู้สึกก็เหมือนฟ้ากับเหวเลยมั้งครับ
ที่จริง จุดหนึ่งที่ทำให้ผมดีใจ ก็คงเพราะว่ามันเป็นโจทย์ที่ผมใช้ความพยายามอยู่มากเหมือนกัน
ลองนึกถึงถ้าผมสงสัยแล้วคิดได้เลย ก็คงไม่ดีใจเท่าไหร่
แต่ผมถึงกับเสียเวลาคิดสมการผิดๆไปถึง 2 สมการ และยังต้องให้โพช่วยเหลือในกระบวนการบางส่วนอีกด้วย พอได้คำตอบออกมาก็เลยดีใจมากหน่อย
งานอะไรเราทุ่มเทมาก ให้เวลากับมันมาก เราก็จะเห็นมันมีค่ามาก รู้สึกมันเป็นส่วนหนึ่งของเรามาก และเมื่องานสำเร็จ เราก็จะดีใจมาก
ฉะนั้นจึงทำให้การแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ครั้งนี้ พิเศษกว่าครั้งก่อนๆมา เพราะครั้งก่อนๆนั้น มันเหมือนกับบังเอิญสังเกตแล้วปิ๊ง!.... ได้คำตอบ
ในชีวิตผม การค้นพบเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ของผมที่ยังอยู่ในความทรงจำ นั้นมีเหลืออยู่อีก 2 ครั้งเท่านั้น (ที่จริงก็ไม่รู้ว่ามีมากกว่านี้หรือเปล่า แหะๆ)
ครั้งแรกตอนอยู่ประมาณ ป.5-ป.6 ครับ(หรือราวๆนั้น) เป็นชั่วโมงอิสระพัฒนาตน ผมขึ้นไปพูดหน้าระดับเกี่ยวกับสูตรการคูณเลข 2 ตัวที่ลงท้ายด้วยเลข 5
เรื่องก็มีอยู่ว่า ตอนนั้นผมเพิ่งทราบสูตรการยกกำลัง 2 ของเลขที่ลงท้ายด้วยเลข 5 ( ตัวอย่างเช่น 35*35 ให้เอา (3+1)*3 มาต่อหน้าเลข 25 ฉะนั้นคำตอบก็คือ 1225 หรือ 115*115 ก็เป็น 12*11 ต่อหน้า 25 เป็น 13225 )
เวลาบ่ายๆของวันหนึ่ง ผมนอนเบื่ออยู่บนเตียง นอนอยู่ข้างๆเครื่องคิดเลข
ความสงสัยก็ผุดมาว่า ถ้านำตัวเลขที่ลงท้ายด้วยเลข 5 แต่ไม่ได้นำมาคูณกันเอง(นำมายกกำลัง 2) หากแต่เอามาคูณเลขที่ลงท้ายด้วย 5 ตัวอื่น จะได้ผลออกมาเป็นอย่างไร จะมีสูตรสำเร็จบ้างไหม...
ผมนั้นกดเครื่องคิดเลขอยู่ซัก 15 นาทีถึงครึ่งชั่วโมงก็เริ่ม เอ่ะใจว่า มันมีความสัมพันธ์อยู่ จึงไปทดเลขในกระดาษไปๆมาๆ ก็ได้สูตรมา ผมรู้สึกดีใจมากเหมือนกัน
ผมยังจำได้ชัดเจนถึงวันที่ ผมอธิบายเรื่องนี้หน้าระดับชั้นในอาคารอุบล แต่จนถึงวันนี้ผมยังไม่แน่ใจว่า คนเข้าใจที่ผมพูดหรือเปล่า (สูตรที่ผมว่า เอาเข้าจริงๆมันอาจไม่ได้ทำให้เร็วขึ้นเท่าไหร่เลย 555 ถ้าไม่คล่อง) หรือว่าเพราะผมพูดน่าเบื่อไม่ทราบ...
ครั้งต่อมา ตอนนั้นเรียนพิเศษเลขเพื่อเตรียมสอบ สสวท. คอมพิวเตอร์ เรียนกับพี่นัทครับ ก็เกิดคิด วิธีลัดหาว่าเลขติดแฟกทอเรียลเลขหนึ่งจะมี จำนวน x เป็นตัวประกอบกี่ตัว ขึ้นมาได้ (ตัวอย่าง 6! = 6*5*4*3*2*1 = 2^4 * 3^2 ถ้าถามว่า 6! มี 2 เป็นตัวประกอบกี่ตัว ก็คือ 4 ตัว)
เราก็เรียกกันวิธีคิดของผมนี้ในกลุ่มเล็กๆที่เรียนพิเศษว่า eig's method
ก็ถือเป็นความภูมิใจเล็กๆครับ
แต่ต่อมาผมพบว่า เรื่องที่ผมคิดได้นี้ มีอยู่แล้วในเรื่องบทเรียนของสถาบันเรียนพิเศษ (ซะงั้น!)
ล่าสุดก็คือ สมการปากกาแสนสวยงามของผมนี้แหล่ะครับ
y = sin3( cos-1( x1/3 ) )
ที่จริงแล้ว... ทั้ง 3 เรื่องนี้ ที่เป็นเรื่องซึ่งผมถือเสียว่าผมค้นพบด้วยตัวเองนี้ เป็นไปได้สูงมากทีเดียวที่จะมีการค้นพบมาก่อนนานแล้วและเป็นเรื่องที่ธรรมดามากๆ
ผมอาจมองมุมกลับมาว่า เราจะเสียเวลากับสิ่งที่มีอยู่แล้วเพื่ออะไร เราไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ได้ค้นพบอะไรเลย
คือ อาจจะเสียเวลา แต่ผมว่าสนุกดี
ผมเชื่อว่า มันไม่น่าลังเลครับ ที่จะทำในสิ่งที่เราสนุก ถ้าประโยชน์ที่ได้คุ้มกับเวลาที่เสีย
ก็บอกแบบนี้ก็เพราะว่า ผมคิดว่ามันน่าลังเลเหมือนกัน ถ้าจะทำอะไรก็ตามที่ได้ประโยชน์คุ้มกับเวลาที่เสียไป
แต่เราไม่สนุก...
ผมชอบนึกเสมอๆ ถึงคนๆหนึ่ง ที่ตั้งใจเรียนเอาเป็นเอาตาย ทุกๆวันอดทนขยันเพื่อจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยในคณะคะแนนสูงลิบ ไม่ทำอะไรอย่างอื่นนอกจากอ่านหนังสือ จะมีบ้างที่แบ่งเวลาไปอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ หรืออ่านตำราเล่นหุ้น
และก่อนวันสอบ เขาถูกรถชนตาย...
คงเป็นชีวิตที่ไม่สนุกเอาซะเลย ที่อดทนทำทุกๆอย่างเพื่อประโยชน์ในอนาคตเพียงอย่างเดียว
(เรื่องข้างบนเป็นเรื่องสมมตินะครับ)
กลับเรื่องเดิม
ผมคิดว่าการคิดวิธีการอะไรก็ตามที่เราไม่เคยรู้มาก่อนด้วยตัวเองนั้น ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรมากกว่าการเราทำความเข้าใจวิธีการของคนอื่นหลายเท่าตัว
กระบวนการคิดสมการครั้งล่าสุดนี้ ผมเริ่มต้นด้วยการสังเกตและจินตนาการการเคลื่อนที่ของปากกา แปลงมันเข้ามาในรูปของปัญหาทางคณิตศาสตร์ ทดลองใช้ความรู้ทางคณิตศาสตร์หลายๆด้านที่เคยเรียนมามาหาคำตอบ ผมคิดสมการออกมาแล้วตรวจหาจุดบอดว่าผิดหรือไม่ มันผิดไป 2 ครั้ง ผมคิดต่อไป และได้สิ่งที่ถูกต้อง(รึเปล่า?)ออกมา
เทียบกับการดูสูตร ดูที่มา ทำความเข้าใจ แล้วร้องอ๋อ (บางคนดูสูตรแล้วจำ แล้วจบ) ตามแบบฉบับการเรียนในห้องเรียนนั้น "กระบวนการคิด"ที่ผมได้ฝึกนั้น ผมคิดว่าแตกต่างกันมาก
ผมอยากให้การศึกษาของไทยเรา ฝึกคนให้ตั้งคำถามในชีวิต และหาคำตอบด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มากขึ้นกว่านี้
นี้มันไม่ใช่เรื่องที่อยู่แค่ในห้องเรียนหรือวิชาชีพ แต่มันเป็นวิถีการดำเนินชีวิตของคน
การเชื่ออะไรซักอย่างด้วยความไร้สาเหตุ...
การกู้เงินบริษัทสินเชื่อเกินตัว...
การใช้บัตรเครดิตทบหนี้บัตรเครดิตเดิมจนหนี้ล้น...
การเรียนแบบจำแล้วสะสมความไม่เข้าใจไป ทุกปีๆ...
ฯลฯ
เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดกับคนไทยครับ เพียงแค่เราไม่ขี้เกียจที่จะฝึก "คิด" สักนิด
และสมการปากกาของผมก็มีที่มาดังนี้ครับ
เส้นโค้งที่ผมต้องการจะหานี้ มันเกิดจาก ปากกายาว L หน่วยครับ
เมื่อเส้นปากกาทำมุม 90 องศากับแกน x กับเส้นปากกาทำมุม 89 องศากับแกน x มาซ้อนกันจะได้จุดตัด 1 จุด
เมื่อเส้นปากกาทำมุม 89 องศากับแกน x กับเส้นปากกาทำมุม 88 องศากับแกน x มาซ้อนกันจะได้จุดตัด 1 จุด
เมื่อเส้นปากกาทำมุม 87 องศากับแกน x กับเส้นปากกาทำมุม 87 องศากับแกน x มาซ้อนกันจะได้จุดตัด 1 จุด
....
เมื่อเส้นปากกาทำมุม 1 องศากับแกน x กับเส้นปากกาทำมุม 0 องศากับแกน x มาซ้อนกันจะได้จุดตัด 1 จุด
ถ้าเราลากเส้นต่อจุดจะได้เส้นที่หักมุมถี่ๆ เกือบเป็นเส้นโค้ง
ดังนั้นถ้าเรานำเส้นปากกาที่ มุมใกล้กันที่สุด มาตัดกันแล้วไล่ไปเรื่อยๆ ก็จะได้สมการคำตอบที่ต้องการออกมา
y = mx + b
y= - tan(THETA)x + Lsin(THETA) ___(1)
y= - tan(THETA+h)x + Lsin(THETA+h) ___(2) โดยที่ h=0
(THETA คือค่ามุมใดๆ)
y= - tan(THETA)x + Lsin(THETA) ___(1)
y= - tan(THETA+h)x + Lsin(THETA+h) ___(2) โดยที่ h=0
(THETA คือค่ามุมใดๆ)
เราจะหาจุดตัดของ 2 สมการว่า ตัดอันที่ x=เท่าไหร่
y(1) = y(2)
- tan(THETA)x + Lsin(THETA) = - tan(THETA+h)x + Lsin(THETA+h)
x { tan(THETA+h) - tan(THETA) } = Lsin(THETA+h) - Lsin(THETA)
x = {Lsin(THETA+h) - Lsin(THETA)} / {tan(THETA+h) - tan(THETA)}
x = {Lsin(THETA+h) - Lsin(THETA)} / {tan(THETA+h) - tan(THETA)} ; เติม /h เข้าไปทั้ง เศษและส่วน
x = [{Lsin(THETA+h) - Lsin(THETA)} / h] / [{tan(THETA+h) - tan(THETA)} / h] ; เติม /h เข้าไปทั้ง เศษและส่วน
d f(x) = ( f(x+h) - f(x) ) / h ; เมื่อ h=0 (นิยามการดิฟ)
x = d Lsin(THETA) / d tan(THETA)
x = Lcos(THETA) / (1/cos2(THETA))
x = Lcos3(THETA)
x = Lcos(THETA) / (1/cos2(THETA))
x = Lcos3(THETA)
(เรื่องแคลคูลัสเรียนเมื่ออยู่ ม.6 ครับ ส่วนสูตร d sin(THETA) = cos(THETA) กับ d tan(THETA) = 1/cos2(THETA) สามารถหาอ่านเพิ่มเติมได้)
เรารู้แล้วว่า เส้นตรง2เส้นจะตัดกันที่ x =Lcos3(THETA)
ต่อไปเราก็หา ค่า y เมื่อ x =Lcos3(THETA) เพื่อจะได้รู้คู่อันดับ
โดยแทนค่า x ลงในสมการ (1)
ต่อไปเราก็หา ค่า y เมื่อ x =Lcos3(THETA) เพื่อจะได้รู้คู่อันดับ
โดยแทนค่า x ลงในสมการ (1)
y = - tan(THETA)x + Lsin(THETA)
y = - tan(THETA) Lcos3(THETA) + Lsin(THETA)
y = - sin(THETA) Lcos2(THETA) + Lsin(THETA)
y = Lsin(THETA) (-cos2(THETA) + 1)
y = Lsin(THETA) (sin2(THETA))
y = Lsin3(THETA)
y = - tan(THETA) Lcos3(THETA) + Lsin(THETA)
y = - sin(THETA) Lcos2(THETA) + Lsin(THETA)
y = Lsin(THETA) (-cos2(THETA) + 1)
y = Lsin(THETA) (sin2(THETA))
y = Lsin3(THETA)
เราจะได้คู่ลำดับ (x,y) = (Lcos3(THETA) , Lsin3(THETA))
จุดนี้คือจุดที่ปรากฏในสมการคำตอบเมื่อปากกาทำมุม THETA
เมื่อเราไล่มุม THETA ตั้งแต่ 90 - 0 เราก็จะได้ คู่ลำดับที่ถูกต้องแล้ววาดรูป เส้นโค้งที่ต้องการได้แล้วครับ
แต่เรายังไม่ได้ สมการเส้นโค้ง
แต่เรายังไม่ได้ สมการเส้นโค้ง
สมการเส้นโค้งนั้น ต้องเขียนว่า y เท่ากับเท่าไหร่ในเทอม x
y = Lsin3(THETA)
Lเป็นค่าคงที่ แต่ THETA เป็นมุมใดๆ เราจึงต้องหาค่า THETA ในเทอม x
Lเป็นค่าคงที่ แต่ THETA เป็นมุมใดๆ เราจึงต้องหาค่า THETA ในเทอม x
x = Lcos3(THETA)
x/L = cos3(THETA)
(x/L)1/3 = cos(THETA)
THETA = cos-1( (x/L)1/3 )
y = Lsin3( cos-1( (x/L)1/3 ) )
เป็นอันจบ
เป็นอันจบ
จากบทความข้างต้นเพื่อความสวยงามผมกำหนด ปากกายาว 1 หน่วยครับ
y = sin3( cos-1( x1/3 ) )
y = sin3( cos-1( x1/3 ) )
ต่อไป eig's method ถ้าเขียนเป็น function คอมพิวเตอร์จะเขียนได้แบบนี้ครับ คนที่อ่านโปรแกรมเป็นและไม่เป็น ลองอ่านดูครับ
int f(int number,int find)
{
if(number/find==0)
return 0;
return number/find + f(number/find)
}
จากฟังก์ชันนี้ number คือเลขที่ติดแฟคทอเรียล find คือเลขตัวประกอบที่เราต้องการหาว่ามีกี่ตัวครับ
int f(int number,int find)
{
if(number/find==0)
return 0;
return number/find + f(number/find)
}
จากฟังก์ชันนี้ number คือเลขที่ติดแฟคทอเรียล find คือเลขตัวประกอบที่เราต้องการหาว่ามีกี่ตัวครับ

2 Comments:
เช่นเดียวกับหลาย ๆ อย่างในชีวิต ที่เส้นทางเดินสำคัญกว่าจุดปมาย...
By
Paul_012, at 2/1/49 22:31
พอสะกดผิด ตื่นเต้น
ชื่อ Eig's Medthod พี่ตั้งให้เห็นเปล่า ฮา...
สุดยอดแล้วล่ะที่คิดได้ขนาดนี้น่ะ
By
NuttyGM, at 3/1/49 01:59
แสดงความคิดเห็น
<< Home