70% we bought is useless
ถ้าแปลความหมายให้ตรงตัวจากชื่อหัวข้อนี้ล่ะก็ คงจะได้ว่า "70% ของที่เราซื้อนั้นไม่เกิดประโยชน์"
วันนี้ผมอยากให้ทุกคนลองมองไปรอบๆ ตัวของท่าน อยากให้ลองเลือกผลิตภัณฑ์รอบๆ ตัวมาสัก 10 ชิ้น แล้วลองนั่งนึกสักพักสิว่า ท่านซื้อของเหล่านั้นมาด้วยราคาเท่าไหร่
หลังจากนั้น ลองนึกซิครับว่า ของแต่ละชิ้นนั้น ท่านใช้มันให้เกิดประโยชน์ได้คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปหรือยัง?
แน่นอนครับ บางชิ้นเราคงใช้มันได้คุ้มแสนคุ้ม ในขณะที่บางชิ้นยากเกินจะประเมิน และอีกส่วนหนึ่ง ที่เรารู้สึกว่า ไม่คุ้มเอาเสียเลย
สังเกตไหมครับ ว่ากลุ่มสุดท้ายที่ไม่คุ้มเอาเสียเลยนั้น ดูจะเป็นสินค้าเทคโนโลยีหรืออิเล็กทรอนิกส์เสียเป็นส่วนใหญ่?
ผมอยากยกตัวอย่างโทรศัพท์มือถือของผม Sony Ericsson K700i ที่ผมซื้อมาเมื่อราวๆ ปีครึ่งที่แล้ว ในราคา 15,900 บาท ทุกวันนี้ผมมั่นใจ และกล้าพูดสุดๆ ครับ ว่าผม "ใช้มันไม่คุ้ม" เอาเสียเลย ถึงแม้ว่าผมจะพอใจในความหลากหลายของคุณสมบัติของมัน แต่ผมก็พบว่า หลายๆ อย่างมัน "ไม่จำเป็น"
มือถือของผมถ่ายรูปได้ ถ่ายวีดีโอได้ อัดเสียงได้ อัดเสียงระหว่างสนทนาได้ด้วย ต่อบลูทูธ GPRS ได้ มีอินฟราเรด มีจอสีละเอียดสีสันสวยงาม ใหญ่ด้วย มีเมนูอนิเมชั่นสวยงาม มีเกม เล่น MP3 ได้ เล่นวิทยุ FM ได้ มีลำโพงในตัว (loundspeaker) ส่ง SMS MMS มี T9 มีโปรแกรม Dictionary รันเกมและโปรแกรม Java ได้ รองรับ Java 3D มีเกมสามมิติ กล้องมี Photolight ไฟสว่างจ้าสุดร้อนแรง ใช้แทนไฟฉายได้สบายๆ มีระบบเก็บรหัสลับ มีนาฬิกาจับเวลาแบบตั้ง lap ได้ จับเวลาถอยหลังได้ โทรออกด้วยเสียงได้ ตั้งเสียงเรียกเข้าแบบ MP3 และเฉพาะคนโทรเข้าได้ และฟังก์ชั่นพื้นฐานอื่นๆ ที่โทรศัพท์ทั่วไปควรจะมีอีกมากมาย
กว่า 90% ของฟังก์ชั่นทั้งหมด ล้วนเป็นฟังก์ชั่นที่ผมนับจำนวนครั้งใช้ได้ตลอดเวลาปีครึ่งที่ผ่านมา และหลายๆ ครั้งที่ใช้ก็ใช่ว่าจะจำเป็นมากเสียด้วย
เท่าที่จำได้ การใช้ฟีเจอร์ดังกล่าวอย่างมีเหตุผลและคุ้มค่าจริงๆ ของผมเพิ่งเกิดไม่กี่ครั้ง อย่างการอัดเสียงสนทนากับ client ทำเว็บของผม ต่ออินเทอร์เน็ตผ่าน GPRS เพื่อส่งไฟล์เอกสารเร่งด่วน การใช้ photolight แทนไฟฉายในที่มืดตอนไฟดับหรือที่ๆ จำเป็น นาฬิกาจับเวลาในการทำงานบางอย่าง และนาฬิกาปลุกที่ทำให้ผมต้องตื่นจากฝันตลอดปีครึ่งที่ผ่านมาด้วยบทเพลง "Soulmate" ของ Playground
ที่กล่าวมานี่ นอกเหนือจากการรับและการโทรศัพท์ธรรมดานะครับ อ่อ และ SMS ด้วย
และเมื่อผมมองไปรอบๆ ตัวกับสินค้า IT อีกหลายๆ ชิ้น ก็ยังพบเหตุการณ์เดียวกันอยู่
แต่จุดหนึ่งที่ยังเป็นข้อดีของผมคือ ทุกครั้งที่ผมซื้ออุปกรณ์เหล่านี้มา ผมจะตั้งใจอ่านคู่มือและเอกสารต่างๆ ที่ได้มาอย่างพินิจพิเคราะห์ ตั้งแต่ต้นจนจบ
อย่างน้อยที่สุด มันทำให้ผมรู้ว่า มันสามารถสร้างประโยชน์อะไรให้กับผมได้บ้าง และเมื่อผมต้องการมัน ผมจะใช้ได้อย่างไร
ผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่ไม่เคยรู้ว่า แผงคอนโซลของรถตัวเองสามารถทำอะไรได้บ้าง ทั้งๆ ที่มันถูกออกแบบมาให้อำนวยความสะดวกต่างๆ มากมาย
รวมไปถึงไม่รู้แม้ว่าเบาะรถตัวเองสามารถพับเก็บได้...
เหตุการณ์เหล่านี้ยังเกิดขึ้นกับหลายๆ คนรอบตัวผม ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง ผู้ชาย คนแก่ หรือคนรุ่นราวคราวเดียวกับผมก็ตาม แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ ย่อมทำให้มูลค่าของสินค้าเหล่านี้ สูญเสียไปอย่างน่าเสียดาย
และโดยเฉพาะสินค้าเทคโนโลยี ที่เราจำเป็นต้องแลกด้วยหยาดเหงื่อของเกษตรกรไทย ปีละไม่น้อยเลยทีเดียว
ผมอยากให้ทุกคนคิดถึงการใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่ามากขึ้น มากกว่าการใช้เงินจับจองเป็นเจ้าของ และหวังว่ามันจะสร้างประโยชน์ให้เราเอง โดยไม่พยายามขวนขวายที่จะเรียนรู้วิธีการประโยชน์จากมันอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในโลกทุนนิยมที่ทุกอย่างหาซื้อได้ด้วยเงินตรา
และถึงแม้ว่าเราจะหาซื้อโน๊ตบุ๊คได้ในราคาเพียง 100 เหรียญก็ตาม
วันนี้ผมอยากให้ทุกคนลองมองไปรอบๆ ตัวของท่าน อยากให้ลองเลือกผลิตภัณฑ์รอบๆ ตัวมาสัก 10 ชิ้น แล้วลองนั่งนึกสักพักสิว่า ท่านซื้อของเหล่านั้นมาด้วยราคาเท่าไหร่
หลังจากนั้น ลองนึกซิครับว่า ของแต่ละชิ้นนั้น ท่านใช้มันให้เกิดประโยชน์ได้คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปหรือยัง?
แน่นอนครับ บางชิ้นเราคงใช้มันได้คุ้มแสนคุ้ม ในขณะที่บางชิ้นยากเกินจะประเมิน และอีกส่วนหนึ่ง ที่เรารู้สึกว่า ไม่คุ้มเอาเสียเลย
สังเกตไหมครับ ว่ากลุ่มสุดท้ายที่ไม่คุ้มเอาเสียเลยนั้น ดูจะเป็นสินค้าเทคโนโลยีหรืออิเล็กทรอนิกส์เสียเป็นส่วนใหญ่?
ผมอยากยกตัวอย่างโทรศัพท์มือถือของผม Sony Ericsson K700i ที่ผมซื้อมาเมื่อราวๆ ปีครึ่งที่แล้ว ในราคา 15,900 บาท ทุกวันนี้ผมมั่นใจ และกล้าพูดสุดๆ ครับ ว่าผม "ใช้มันไม่คุ้ม" เอาเสียเลย ถึงแม้ว่าผมจะพอใจในความหลากหลายของคุณสมบัติของมัน แต่ผมก็พบว่า หลายๆ อย่างมัน "ไม่จำเป็น"
มือถือของผมถ่ายรูปได้ ถ่ายวีดีโอได้ อัดเสียงได้ อัดเสียงระหว่างสนทนาได้ด้วย ต่อบลูทูธ GPRS ได้ มีอินฟราเรด มีจอสีละเอียดสีสันสวยงาม ใหญ่ด้วย มีเมนูอนิเมชั่นสวยงาม มีเกม เล่น MP3 ได้ เล่นวิทยุ FM ได้ มีลำโพงในตัว (loundspeaker) ส่ง SMS MMS มี T9 มีโปรแกรม Dictionary รันเกมและโปรแกรม Java ได้ รองรับ Java 3D มีเกมสามมิติ กล้องมี Photolight ไฟสว่างจ้าสุดร้อนแรง ใช้แทนไฟฉายได้สบายๆ มีระบบเก็บรหัสลับ มีนาฬิกาจับเวลาแบบตั้ง lap ได้ จับเวลาถอยหลังได้ โทรออกด้วยเสียงได้ ตั้งเสียงเรียกเข้าแบบ MP3 และเฉพาะคนโทรเข้าได้ และฟังก์ชั่นพื้นฐานอื่นๆ ที่โทรศัพท์ทั่วไปควรจะมีอีกมากมาย
กว่า 90% ของฟังก์ชั่นทั้งหมด ล้วนเป็นฟังก์ชั่นที่ผมนับจำนวนครั้งใช้ได้ตลอดเวลาปีครึ่งที่ผ่านมา และหลายๆ ครั้งที่ใช้ก็ใช่ว่าจะจำเป็นมากเสียด้วย
เท่าที่จำได้ การใช้ฟีเจอร์ดังกล่าวอย่างมีเหตุผลและคุ้มค่าจริงๆ ของผมเพิ่งเกิดไม่กี่ครั้ง อย่างการอัดเสียงสนทนากับ client ทำเว็บของผม ต่ออินเทอร์เน็ตผ่าน GPRS เพื่อส่งไฟล์เอกสารเร่งด่วน การใช้ photolight แทนไฟฉายในที่มืดตอนไฟดับหรือที่ๆ จำเป็น นาฬิกาจับเวลาในการทำงานบางอย่าง และนาฬิกาปลุกที่ทำให้ผมต้องตื่นจากฝันตลอดปีครึ่งที่ผ่านมาด้วยบทเพลง "Soulmate" ของ Playground
ที่กล่าวมานี่ นอกเหนือจากการรับและการโทรศัพท์ธรรมดานะครับ อ่อ และ SMS ด้วย
และเมื่อผมมองไปรอบๆ ตัวกับสินค้า IT อีกหลายๆ ชิ้น ก็ยังพบเหตุการณ์เดียวกันอยู่
แต่จุดหนึ่งที่ยังเป็นข้อดีของผมคือ ทุกครั้งที่ผมซื้ออุปกรณ์เหล่านี้มา ผมจะตั้งใจอ่านคู่มือและเอกสารต่างๆ ที่ได้มาอย่างพินิจพิเคราะห์ ตั้งแต่ต้นจนจบ
อย่างน้อยที่สุด มันทำให้ผมรู้ว่า มันสามารถสร้างประโยชน์อะไรให้กับผมได้บ้าง และเมื่อผมต้องการมัน ผมจะใช้ได้อย่างไร
ผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่ไม่เคยรู้ว่า แผงคอนโซลของรถตัวเองสามารถทำอะไรได้บ้าง ทั้งๆ ที่มันถูกออกแบบมาให้อำนวยความสะดวกต่างๆ มากมาย
รวมไปถึงไม่รู้แม้ว่าเบาะรถตัวเองสามารถพับเก็บได้...
เหตุการณ์เหล่านี้ยังเกิดขึ้นกับหลายๆ คนรอบตัวผม ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง ผู้ชาย คนแก่ หรือคนรุ่นราวคราวเดียวกับผมก็ตาม แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ ย่อมทำให้มูลค่าของสินค้าเหล่านี้ สูญเสียไปอย่างน่าเสียดาย
และโดยเฉพาะสินค้าเทคโนโลยี ที่เราจำเป็นต้องแลกด้วยหยาดเหงื่อของเกษตรกรไทย ปีละไม่น้อยเลยทีเดียว
ผมอยากให้ทุกคนคิดถึงการใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่ามากขึ้น มากกว่าการใช้เงินจับจองเป็นเจ้าของ และหวังว่ามันจะสร้างประโยชน์ให้เราเอง โดยไม่พยายามขวนขวายที่จะเรียนรู้วิธีการประโยชน์จากมันอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในโลกทุนนิยมที่ทุกอย่างหาซื้อได้ด้วยเงินตรา
และถึงแม้ว่าเราจะหาซื้อโน๊ตบุ๊คได้ในราคาเพียง 100 เหรียญก็ตาม

0 Comments:
แสดงความคิดเห็น
<< Home