.comment-link {margin-left:.6em;}

 

21 สิงหาคม 2548

ผมมันไม่ดี ผมมันเลว ผมมันแตกปลาย

หลายๆ ท่านอาจจะได้ทราบแล้วเกี่ยวกับข่าวคราวการพักการเรียนของผมเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 1 เทอม หรือที่ตั้งใจไว้ 1 ปี

แน่นอนว่ามีหลายคำถามที่เกิดขึ้นในใจทุกๆ คนเมื่อได้ยินข่าวคราวนี้ หลายๆ คนคงสงสัยว่า ผมวางแผนอย่างไรในอนาคต ทำไมถึงคิดจะเลิกเรียน? การเรียนในสาขาวิชาที่ตนเองถนัดหรือชอบยังไม่ดีพอหรอ? หรือนี่ไม่ใช่สาขาที่ใช่? หรือแม้แต่การตัดสินไปโดยปริยายว่า ผมเป็นเด็กเลว ไม่เรียนหนังสือ ไม่กตัญญู ฯลฯ

ย้อนหลังไปเมื่อราวๆ 1 ปีที่แล้ว ก้าวแรกที่ผมได้เข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย แน่นอน ผมตื่นเต้น นี่คือการศึกษาที่ผมใฝ่ฝันมาเป็นระยะเวลากว่า 6 ปีนับตั้งแต่การเข้าเรียนในระดับมัธยมศึกษา ผมเฝ้าใฝ่ฝันรอที่ผมจะได้เรียนในสาขาที่ผมถนัด ผมชอบ โดยไม่จำเป็นต้องมาเรียนกับสาขาวิชาอื่นๆ ที่ผมไม่คิดว่ามันเกิดประโยชน์อะไร อีกทั้งด้วยระบบการศึกษาที่ไม่มุ่งเน้นให้เด็กพัฒนาศักยภาพการคิดและองค์ความรู้ที่ห่างไกลการนำไปประยุกต์ใช้ ทั้งหมดนี้เป็นแง่ลบของการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ผมรอคอยวันจะได้พ้นไปจากมัน

แน่นอนว่า ในช่วง 1 ปีแรกของการศึกษาในคณะวิศวกรรมศาสตร์ ผมจำเป็นต้องเรียนวิชาพื้นฐานอื่นๆ อีกมากมายแม้ว่าผมจะไม่ชอบมัน ทั้งคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี แต่ผมก็พยายามที่จะทำใจรับมันไปในช่วงเทอมแรก ผลคือ ผมสามารถได้แคลคูลัส A ได้โดยการเข้าสอบเพียง 3 ครั้งจาก 4 ครั้ง (จริงๆ แล้วจะเรียกว่าโง่หรือฉลาดที่ไม่สอบครั้งนึง...) และได้ฟิสิกส์ C+ อย่างเฉียดฉิวไป แต่สิ่งที่ผมต้องทำเพื่อแลกมากับคะแนนเหล่านั้น คือการท่องจำสูตร วิธีทำต่างๆ ถึงแม้ว่าจะใช้เวลาเพียงสองถึงสามวันก่อนสอบในวิชาฟิสิกส์ หรือประมาณ 1 เดือนก่อนสอบสำหรับวิชาคณิตศาสตร์ ผมพบว่า เวลาเหล่านั้น ผมสามารถนำไปสร้างมูลค่าให้กับตัวเองและสังคมได้อีกมากมาย

จนเทอมที่สอง ผมต้องพบกับวิชาตำนานอีกหนึ่งวิชาในมหาวิทยาลัย นั่นก็คือเคมี ความเครียดทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ผมพยายามกัดฟันเพื่อทวนข้อสอบต่างๆ ด้วยวิธีการเดิมๆ แต่ด้วยความอคติที่มีอยู่เดิม ผมไม่สามารถให้เวลากับมันไปได้มากกว่าเดิม ผลคือ แม้ว่าผมจะสามารถทำคะแนนได้เต็ม 50% แรกของวิชาคณิตศาสตร์ในช่วงมิดเทอมแรก และสอบเขียนแบบได้อันดับที่ 2 ของหมู่เรียน แต่คะแนนวิชาฟิสิกส์และเคมีของผม กลับตกต่ำเกินกว่าจะเยียวยาไหว ความเครียดและกดดันจากระบบการศึกษาที่ไร้คุณภาพในสาขาวิชาเหล่านี้ ได้ระเบิดออกในช่วงหลังมิดเทอม ผลคือ ผมไม่เข้าสอบในวิชาใดๆ เหล่านี้เลยในช่วงไฟนอล ผมสามารถผ่านวิชาคณิตศาสตร์ด้วยเกรด D+ และวิชาวาดเขียนด้วยเกรด C สำหรับสองวิชาฟิสิกส์และเคมี ผมได้ F ตามความคาดหมาย...

สิ่งที่ผมคิด ณ ขณะนั้น คือผมไม่สามารถทำใจยอมรับกับระบบการเรียนรู้ของวิชาเหล่านี้ได้ การตัดสินใจของผม คือการผลัดการเรียนวิชาเหล่านี้ออกไปก่อน อาจจะเพื่อเก็บไว้เก็บในช่วงปี 4 หรือปี 5 หากต้องการจะจบจริงๆ หรืออาจจะเอาเกรดอื่นๆ ที่ผ่านมาโอนย้ายไปเรียนมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ และเหตุผลที่ผมไม่ตัดสินใจดร็อปวิชาฟิสิกส์และเคมี เพราะผมต้องการจะเก็บวิชาแล็ปเอาไว้ จะได้ไม่ต้องเรียนอีกในอนาคตถ้าอยากจะจบ แน่นอน การตัดสินใจนี้ แลกด้วยเกียรตินิยมที่พ่อแม่ผมอาจจะคาดหวังไว้ จากเกรดเฉลี่ยที่สูงถึง 3.62 ในเทอมแรก

ก่อนเปิดเทอมในปีที่สอง ผมเองยังมีความคาดหวังเล็กๆ ว่า ผมจะได้พบกับอะไรๆ ที่ดีขึ้นเมื่อผมได้เข้าภาควิชาคอมพิวเตอร์อย่างเต็มตัว ได้เรียนวิชาหลายๆ วิชาที่ผมสนใจ และถนัด แต่เปล่าเลย... จากการเข้าเรียนได้ประมาณ 1 เดือน ผมยังคงพบกับระบบการเรียนรู้ที่ขาดคุณภาพ และที่สำคัญที่สุด อาจารย์ที่ขาดพลังและวิญญาณความเป็นครู (แต่ที่ดีมากๆ ก็ยังมีบ้าง)

ผมตัดสินใจอย่างไม่ต้องคิดอะไรมาก...
ผมจะเลิกเรียน

บางคนอาจจะรู้สึกว่า ผมเองปรับตัวไม่เป็นหรือเปล่า? หรือว่าผมเองขี้เกียจแล้วหาข้ออ้างกันแน่...

มันอาจจะถูกก็ได้นะครับ แต่ผมกล้ายืนยันว่า ระบบการศึกษาแม้แต่ในระดับมหาวิทยาลัยนี้ มันไม่เหมาะสมกับตัวผมอย่างแน่นอน ผมว่ามีคนอีกมากมายที่รู้สึกผิดหวังกับระบบการศึกษานี้ ผมได้คุยกับเพื่อนหลายๆ คน แม้แต่คนที่อยู่ในสถาบันที่ได้ชื่อว่าเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ ก็ยังพบว่าไม่สามารถจัดการศึกษาที่ดีพอได้ ทำให้ผมอดขำในใจไม่ได้ว่า นี่หรือคือระบบที่คนมากมายแย่งชิงกันจะเป็นจะตายเพื่อเข้ามา ทั้งเรียนพิเศษ กวดวิชา เวลาร่วมกว่าร้อยกว่าพันชั่วโมงที่เสียไป เพียงเพื่อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในระบบที่แตกสลายนี้...

ผมคิดว่า ทุกวันนี้ แรงผลักดันที่ยังทำให้เพื่อนผมหลายๆ คนยังอยากมามหาวิทยาลัย เพียงเพราะว่ายังอยากเจอกับเพื่อนๆ และอยากทำกิจกรรมต่างๆ ที่มีให้เลือกมากมาย ทั้งมีสาระ ไม่มีสาระ เกิดประโยชน์ ไม่เกิดประโยชน์ ที่มีให้เลือกสรรมากมายในรั้วมหาวิทยาลัย

และที่สำคัญที่สุด...
เขาต้องการใบปริญญา

ผมไม่แน่ใจนักว่า ปริญญาตรี เข้ามาเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐานในค่านิยมของคนไทยมานานเท่าไหร่แล้ว แต่ผมคิดว่า ตราบเท่าที่การศึกษาขั้นพื้นฐานไม่สามารถสร้างคนให้เป็นคนได้ คงไม่น่าแปลกใจนัก ที่หลายๆ คนจะยังต้องการการศึกษาในขั้นที่สุงกว่านั้น เพื่อประดับบารมีตนเอง เพื่อให้ตนเองสามารถเชิดหน้าชูตาได้ในสังคม และสามารถที่จะหาเลี้ยงชีพได้อย่างยากลำบากนัก และพ่อแม่ส่วนมากในสังคม ยังมีค่านิยมที่จะให้ลูกเรียนได้คะแนนดีๆ เรียนจบสูงๆ โดยพยายามหาการสนับสนุน บีบบังคับ หรือวิถีทางต่างๆ อีกมากมายเพื่อให้ลูกได้คะแนนดีๆ เข้าเรียนในสถาบันที่มีชื่อเสียง โดยลืมคิดถึงบทบาทตนเองในฐานะครูคนสำคัญในบ้าน และผลักภาระหน้าที่ในการเรียนรู้ให้กับโรงเรียน ครูอาจารย์ และสถาบันกวดวิชา

ผมเอง อาจจะถือว่าโชคดี ที่เกิดในครอบครัวที่มีคุณพ่อเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่สามารถเข้าใจถึงระบบการศึกษาที่เป็นจริงในสถาบันนี้ และเข้าใจในศักยภาพและความสามารถในด้านอื่นๆ ของผมนอกจากที่สังคมยอมรับ และสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวที่มีวิสัยทัศน์และใจกว้าง

แต่แน่นอน ถ้าผมไปโชคร้ายไปเกิดในอีกหลายๆ ครอบครัว คงเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ที่ผมจะสามารถเลือกทางเดินของผมเองได้อย่างอิสระ ไม่ได้รับโอกาสในการพัฒนาความสามารถเฉพาะทางที่ผมสนใจ และที่สำคัญที่สุด ไม่สามารถเข้าใจถึงความต้องการที่แท้จริงและความสุขของผม

ผมอดนึกไม่ได้เลยว่า... จะมีอีกกี่คนที่โชคดีแบบผม และจะมีอีกเท่าไหร่ที่โชคร้าย...