.comment-link {margin-left:.6em;}

 

14 สิงหาคม 2548

Multiple Intelligences

ทฤษฏีพหุปัญญา (Theory of Multiple Intelligences) เป็นทฤษฏีที่คิดค้นโดยนักจิตวิทยาชาวอเมริกันนามว่าโฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ โดยทฤษฏีนี้มีแนวคิดหลักที่ว่า เด็กทุกคนเกิดมาพร้อมกับความฉลาด หรือความ "เก่ง" มาทุกๆ คน เพียงแต่ละคน จะมีความฉลาดในด้านต่างๆ ไม่เท่ากัน บางคนอาจไม่เด่นเลยสักด้าน หรือบางคนอาจจะมีมากในทุกๆ ด้าน แต่ส่วนมากจะมีที่เด่นเพียง 1 หรือ 2 ด้านเท่านั้น สำหรับความฉลาดทั้ง 8 ตามทฤษฏี MI ได้แก่
  1. ด้านภาษา (Linguistic Intelligence) คือความสามารถในการใช้ภาษา การสื่อสาร การฟัง พูด อ่าน เขียน เด็กที่มีความสามารถในด้านนี้ จะมีความสามารถในการสื่อสารกับคนอื่นให้เข้าใจได้ง่ายและรวดเร็ว ชอบที่จะอ่านหนังสือหรือข้อความต่างๆ สามารถนำเสนอความคิดของตนเองผ่านภาษาที่มีความสวยงาม น่าติดตาม และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นอกจากนี้แล้ว เด็กที่มีทักษะทางด้านนี้เป็นพิเศษยังชอบที่จะสร้างศัพท์ใหม่ๆ ขึ้นมาใช้เองอีกด้วย
  2. ด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ (Logical & Mathematical Intelligence) คือความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การให้เหตุผลกับสิ่งต่างๆ รอบตัว การคาดการณ์ การประมาณ รวมถึงทักษะการคำนวณทางคณิตศาสตร์พื้นฐานทั่วไป แน่นอนว่าคงไม่แปลกที่เด็กที่มีความถนัดในด้านนี้จะมีความสนใจและถนัดในวิชาคณิตศาสตร์ เด็กที่มีความถนัดในด้านนี้จะเข้าใจเหตุและผลของเหตุการณ์ต่างๆ รอบๆ ตัว สามารถวิเคราะห์ถึงปัญหาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ชอบที่จะวิจารณ์และแสดงความคิดเห็นของตนในเรื่องต่างๆ อยู่ตลอดเวลา สามารถคาดการณ์เหตุการณ์ต่างๆ ในอนาคตจากข้อมูลต่างๆ ได้ ชอบตั้งคำถาม และมีความสุขกับการหาคำตอบของคำถามด้วยวิธีการต่างๆ รวมไปถึงมีความเชื่อมั่นในความคิดของตนเอง
  3. ด้านมิติ (Spatial Intelligence) เป็นความสามารถทางด้านมิติ ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับเรื่องการมองเห็น การกะระยะ การจินตนาการมิติ มิติสัมพันธ์ เด็กที่มีความสามารถทางด้านนี้ จะสามารถเข้าใจถึงโครงสร้างและมิติของสิ่งของต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ชอบที่จะรื้อสิ่งของต่างๆ เพื่อดูโครงสร้างภายใน ชอบสร้างสิ่งของต่างๆ จากวัสดุต่างๆ รอบตัว ชอบคิดค้นสิ่งใหม่ๆ จากสิ่งที่มีอยู่เดิม การต่อยอด มีความสามารถในการจดจำรายละเอียดต่างๆ ได้ ช่างสังเกต สามารถสังเกตถึงความแตกต่างได้รวดเร็ว
  4. ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว (Bodily-Kinesthetic Intelligence) คือมีความสามารถในการใช้ร่างกายส่วนต่างๆ อย่างเหมาะสมและสัมพันธ์กัน มีความแข็งแรงทางร่างกายสูง มีความคล่องแคล่ว ว่องไว ประสาทสัมผัสต่างๆ ดีเยี่ยม ชอบเล่นกีฬาและออกกำลังกายอยู่เสมอ มีสมาธิมาก มีความอดทน และมีความสามารถในการจดจำและเรียนรู้ด้วยการหยิบจับ สัมผัส และทดลองทำจริงได้ดีกว่าวิธีอื่นๆ
  5. ด้านดนตรี (Musical Intelligence) คือความสามารถในด้านดนตรี การเข้าจังหวะ เด็กที่มีความสามารถทางด้านนี้ จะชอบฟังและชอบเล่นเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ มีความสามารถในการเลียนเสียงธรรมชาติและเสียงดนตรีต่างๆ มีประสาทสัมผัสทางการได้ยินดีเป็นพิเศษ สามารถแยกแยะท่วงทำนองของดนตรีที่มีความคล้ายคลึงกันได้ สามารถขยับร่างกายให้สัมพันธ์กับจังหวะได้อย่างแม่นยำ
  6. ด้านมนุษย์สัมพันธ์ (Interpersonal Intelligence) คือความสามารถในการเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่น สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้อย่างเหมาะสม เด็กที่มีความสามารถในด้านนี้ จะมีมารยาทและกาละเทศะ สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมทางสังคมได้อย่างเหมาะสม สามารถเข้าใจถึงอารมณ์ความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่นได้ เข้าใจปัญหาทางสังคมต่างๆ
  7. ด้านการเข้าใจตนเอง (Intrapersonal Intelligence) คือความสามารถในการเข้าใจอารมณ์ ความรู้สึก ความสามารถ และสถานภาพต่างๆ ของตนเองได้ ผู้ที่มีความสามารถในด้านนี้สูงจะสามารถเข้าใจถึงอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง สามารถความคุมอารมณ์และวางตัวในสังคมได้ถูกต้อง มีความสามารถในการประเมินความสามารถของตนเอง สามารถจัดการและรับผิดชอบหน้าที่การงานต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม สามารถบริหารเวลาในการทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้อย่างลงตัว มีความเชื่อมั่นในตนเอง และมีความกล้าหาญที่จะเผชิญกับปัญหา
  8. ด้านธรรมชาติวิทยา (Naturalist Intelligence) คือความเข้าใจในธรรมชาติและสิ่งต่างๆ รอบตัว เด็กที่มีความถนัดในด้านนี้จะสนใจในวิชาวิทยาศาสตร์เป็นพิเศษ ชอบที่จะค้นหาคำตอบเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งรอบๆ ตัวอยู่เสมอ ชอบหาคำตอบของปัญหาต่างๆ รอบๆ ตัว ชอบทดลองและลงมีปฏิบัติด้วยตนเอง และมีความสนใจเกี่ยวกับพืชสัตว์ และปรากฏการณ์ทางธรรมชาติรอบๆ ตัวเป็นพิเศษ
สำหรับความเก่งในแต่ละด้าน สามารถแสดงออกได้อย่างหลากหลาย ไม่จำเป็นว่าคนที่มีความสามารถในการอ่านเป็นพิเศษ จะต้องมีความสามารถในการเขียนมากตามไปด้วย ความฉลาดทั้ง 8 ประการเป็นเพียงภาพกว้างๆ ของการแบ่งแยกทักษะความสามารถต่างๆ ออกเป็นหมวดหมู่ (เช่นเดียวกับทฤษฏีทักษะ 6 ของ Cubic Creative ที่ประกอบด้วยเหตุผล ความคิดสร้างสรรค์ ประสาทสัมผัส การแสดงออก การตัดสินใจ และร่างกาย)

แน่นอนว่า ถ้าเด็กทุกคนนั้นเกิดมาพร้อมกับความสามารถและความถนัดที่หลากหลายขนาดนี้ ถึงเวลาที่เราควรจะทบทวนดูหรือยัง ว่าการศึกษาแบบสูตรสำเร็จในปัจจุบัน เหมาะสมแล้ว โดยเฉพาะในวัยเด็ก ที่มีศักยภาพในการเรียนรู้สูงที่สุด? การสร้างทางเลือกในการเรียนรู้ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย สายไปหรือยัง? เป็นหน้าที่ของใคร จะที่จะวิเคราะห์ว่าเด็กคนไหนควรได้รับการพัฒนาอย่างไร?

คงปฏิเสธไม่ได้ครับว่า คนที่มีบทบาทมากที่สุด คือพ่อแม่นั่นเอง