Multiple Intelligences
ทฤษฏีพหุปัญญา (Theory of Multiple Intelligences) เป็นทฤษฏีที่คิดค้นโดยนักจิตวิทยาชาวอเมริกันนามว่าโฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ โดยทฤษฏีนี้มีแนวคิดหลักที่ว่า เด็กทุกคนเกิดมาพร้อมกับความฉลาด หรือความ "เก่ง" มาทุกๆ คน เพียงแต่ละคน จะมีความฉลาดในด้านต่างๆ ไม่เท่ากัน บางคนอาจไม่เด่นเลยสักด้าน หรือบางคนอาจจะมีมากในทุกๆ ด้าน แต่ส่วนมากจะมีที่เด่นเพียง 1 หรือ 2 ด้านเท่านั้น สำหรับความฉลาดทั้ง 8 ตามทฤษฏี MI ได้แก่
แน่นอนว่า ถ้าเด็กทุกคนนั้นเกิดมาพร้อมกับความสามารถและความถนัดที่หลากหลายขนาดนี้ ถึงเวลาที่เราควรจะทบทวนดูหรือยัง ว่าการศึกษาแบบสูตรสำเร็จในปัจจุบัน เหมาะสมแล้ว โดยเฉพาะในวัยเด็ก ที่มีศักยภาพในการเรียนรู้สูงที่สุด? การสร้างทางเลือกในการเรียนรู้ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย สายไปหรือยัง? เป็นหน้าที่ของใคร จะที่จะวิเคราะห์ว่าเด็กคนไหนควรได้รับการพัฒนาอย่างไร?
คงปฏิเสธไม่ได้ครับว่า คนที่มีบทบาทมากที่สุด คือพ่อแม่นั่นเอง
- ด้านภาษา (Linguistic Intelligence) คือความสามารถในการใช้ภาษา การสื่อสาร การฟัง พูด อ่าน เขียน เด็กที่มีความสามารถในด้านนี้ จะมีความสามารถในการสื่อสารกับคนอื่นให้เข้าใจได้ง่ายและรวดเร็ว ชอบที่จะอ่านหนังสือหรือข้อความต่างๆ สามารถนำเสนอความคิดของตนเองผ่านภาษาที่มีความสวยงาม น่าติดตาม และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นอกจากนี้แล้ว เด็กที่มีทักษะทางด้านนี้เป็นพิเศษยังชอบที่จะสร้างศัพท์ใหม่ๆ ขึ้นมาใช้เองอีกด้วย
- ด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ (Logical & Mathematical Intelligence) คือความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การให้เหตุผลกับสิ่งต่างๆ รอบตัว การคาดการณ์ การประมาณ รวมถึงทักษะการคำนวณทางคณิตศาสตร์พื้นฐานทั่วไป แน่นอนว่าคงไม่แปลกที่เด็กที่มีความถนัดในด้านนี้จะมีความสนใจและถนัดในวิชาคณิตศาสตร์ เด็กที่มีความถนัดในด้านนี้จะเข้าใจเหตุและผลของเหตุการณ์ต่างๆ รอบๆ ตัว สามารถวิเคราะห์ถึงปัญหาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ชอบที่จะวิจารณ์และแสดงความคิดเห็นของตนในเรื่องต่างๆ อยู่ตลอดเวลา สามารถคาดการณ์เหตุการณ์ต่างๆ ในอนาคตจากข้อมูลต่างๆ ได้ ชอบตั้งคำถาม และมีความสุขกับการหาคำตอบของคำถามด้วยวิธีการต่างๆ รวมไปถึงมีความเชื่อมั่นในความคิดของตนเอง
- ด้านมิติ (Spatial Intelligence) เป็นความสามารถทางด้านมิติ ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับเรื่องการมองเห็น การกะระยะ การจินตนาการมิติ มิติสัมพันธ์ เด็กที่มีความสามารถทางด้านนี้ จะสามารถเข้าใจถึงโครงสร้างและมิติของสิ่งของต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ชอบที่จะรื้อสิ่งของต่างๆ เพื่อดูโครงสร้างภายใน ชอบสร้างสิ่งของต่างๆ จากวัสดุต่างๆ รอบตัว ชอบคิดค้นสิ่งใหม่ๆ จากสิ่งที่มีอยู่เดิม การต่อยอด มีความสามารถในการจดจำรายละเอียดต่างๆ ได้ ช่างสังเกต สามารถสังเกตถึงความแตกต่างได้รวดเร็ว
- ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว (Bodily-Kinesthetic Intelligence) คือมีความสามารถในการใช้ร่างกายส่วนต่างๆ อย่างเหมาะสมและสัมพันธ์กัน มีความแข็งแรงทางร่างกายสูง มีความคล่องแคล่ว ว่องไว ประสาทสัมผัสต่างๆ ดีเยี่ยม ชอบเล่นกีฬาและออกกำลังกายอยู่เสมอ มีสมาธิมาก มีความอดทน และมีความสามารถในการจดจำและเรียนรู้ด้วยการหยิบจับ สัมผัส และทดลองทำจริงได้ดีกว่าวิธีอื่นๆ
- ด้านดนตรี (Musical Intelligence) คือความสามารถในด้านดนตรี การเข้าจังหวะ เด็กที่มีความสามารถทางด้านนี้ จะชอบฟังและชอบเล่นเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ มีความสามารถในการเลียนเสียงธรรมชาติและเสียงดนตรีต่างๆ มีประสาทสัมผัสทางการได้ยินดีเป็นพิเศษ สามารถแยกแยะท่วงทำนองของดนตรีที่มีความคล้ายคลึงกันได้ สามารถขยับร่างกายให้สัมพันธ์กับจังหวะได้อย่างแม่นยำ
- ด้านมนุษย์สัมพันธ์ (Interpersonal Intelligence) คือความสามารถในการเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่น สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้อย่างเหมาะสม เด็กที่มีความสามารถในด้านนี้ จะมีมารยาทและกาละเทศะ สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมทางสังคมได้อย่างเหมาะสม สามารถเข้าใจถึงอารมณ์ความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่นได้ เข้าใจปัญหาทางสังคมต่างๆ
- ด้านการเข้าใจตนเอง (Intrapersonal Intelligence) คือความสามารถในการเข้าใจอารมณ์ ความรู้สึก ความสามารถ และสถานภาพต่างๆ ของตนเองได้ ผู้ที่มีความสามารถในด้านนี้สูงจะสามารถเข้าใจถึงอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง สามารถความคุมอารมณ์และวางตัวในสังคมได้ถูกต้อง มีความสามารถในการประเมินความสามารถของตนเอง สามารถจัดการและรับผิดชอบหน้าที่การงานต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม สามารถบริหารเวลาในการทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้อย่างลงตัว มีความเชื่อมั่นในตนเอง และมีความกล้าหาญที่จะเผชิญกับปัญหา
- ด้านธรรมชาติวิทยา (Naturalist Intelligence) คือความเข้าใจในธรรมชาติและสิ่งต่างๆ รอบตัว เด็กที่มีความถนัดในด้านนี้จะสนใจในวิชาวิทยาศาสตร์เป็นพิเศษ ชอบที่จะค้นหาคำตอบเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งรอบๆ ตัวอยู่เสมอ ชอบหาคำตอบของปัญหาต่างๆ รอบๆ ตัว ชอบทดลองและลงมีปฏิบัติด้วยตนเอง และมีความสนใจเกี่ยวกับพืชสัตว์ และปรากฏการณ์ทางธรรมชาติรอบๆ ตัวเป็นพิเศษ
แน่นอนว่า ถ้าเด็กทุกคนนั้นเกิดมาพร้อมกับความสามารถและความถนัดที่หลากหลายขนาดนี้ ถึงเวลาที่เราควรจะทบทวนดูหรือยัง ว่าการศึกษาแบบสูตรสำเร็จในปัจจุบัน เหมาะสมแล้ว โดยเฉพาะในวัยเด็ก ที่มีศักยภาพในการเรียนรู้สูงที่สุด? การสร้างทางเลือกในการเรียนรู้ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย สายไปหรือยัง? เป็นหน้าที่ของใคร จะที่จะวิเคราะห์ว่าเด็กคนไหนควรได้รับการพัฒนาอย่างไร?
คงปฏิเสธไม่ได้ครับว่า คนที่มีบทบาทมากที่สุด คือพ่อแม่นั่นเอง

0 Comments:
แสดงความคิดเห็น
<< Home