เกี่ยวกับเส้นก๋วยเตี๋ยว
วันนี้อ่านบทความบทหนึ่งเกี่ยวกับ เส้นก๋วยเตี๋ยว
ทำให้ได้รู้ว่า...
เส้นก๋วยเตี๋ยวที่มีอยู่เกลื่อนโลก ทั้งอิตาลี(สปาเกตตี มะกะโรนี เส้นดำ) ญี่ปุ่น(ราโมง อุด้ง โซบะ) ไทย(เส้นเล็ก เส้นใหญ่ เส้นหมี่ บะหมี่) มีที่ไหนอีกหว่า... (เอ๊ะ ไม่เกลื่อนอย่างที่คิด พี่ป่านช่วยมาบอกด้วย มีที่ไหนอีก)
โคตรบรมปู่เส้นก๋วยเตี๋ยว เหล่านี้ เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่... (ให้เดา รับรองถูก)
จีน! ถูกต้อง
" ...Institute of Tibetan Plateau Research(สถานบันไรไม่รู้เกี่ยวกับ ทิเบต-_-") ได้รายงานว่า เขาได้พบไหที่ทำด้วยดินเผาใบหนึ่งที่เมือง Lajia ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจีนและอยู่ใกล้ปลายแม่น้ำเหลือง
...หลายใบที่ภายในมีเส้นก๋วยเตี๋ยว ไหเหล่านี้ฝังอยู่ใต้ดินที่ลึก 3 เมตร การวัดอายุของไหและของดินตะกอนในบริเวณนั้น แสดงว่า พื้นที่นี้ คือ แหล่งอาศัยของคนเมื่อ 4,000 ปีก่อน และเมื่อหมู่บ้านถูกน้ำท่วม และถูกแผ่นดินไหวถล่ม ผู้คนจึงอพยพทิ้งหมู่บ้านไปอย่างถาวร
...เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.3 เซนติเมตร ยาว 50 เซนติเมตร และมีสีเหลือง เพราะทำด้วยข้าวบาร์เลย์ (Hordeum) ข้าวสาลี (Triticum) และข้าวฟ่าง (Panicum) ซึ่งแสดงให้นักประวัติศาสตร์รู้ว่า คนจีนทำนาข้าวเหล่านี้เป็นตั้งแต่ 4,000 ปีก่อน "
สี่พันปีก่อน... พระเจ้า... ผมว่าคนสมัยนั้นคิดทำมันขึ้นมาได้ ตอนนั้นคงจะมีเทพเสน่ห์ปลายจวักเข้าสิงแน่ๆเลย
แต่นอกจากนี้ก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ดูไม่ใช่เรื่องเอาซะเลย เกี่ยวกับเส้นก๋วยเตี๋ยว
นั้นก็คือ นักฟิสิกส์เขาสงสัยว่า ทำไมเวลาเรางอเส้นสปาเกตตีจนแตกแล้ว มันไม่เคยจะหักครึ่งเป็น 2 ท่อนเลยสักครั้ง แต่จะหักเป็นหลายๆท่อนประมาณ 3 4 5 ท่อน พวกนักฟิสิกส์พวกนี้เค้าศึกษากันจริงจังเลยนะครับ
ดูไม่ใช่เรื่องใช่ปะครับ แต่ว่าก็ไม่ใช่เล่นนะครับ
เค้าบอกว่า เพราะธรรมชาติมีเหตุการณ์เกี่ยวกับการแตกสลายเต็มไปหมด เช่น ภูเขาไฟระเบิด กระจกโดนก้อนหินแตก นิวเคลียสของอะตอมแตกตัวเมื่อถูกนิวตรอนพุ่งชน(ที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์นิวเคลียร์ฟิชชั่น ที่ทำให้เกิดระเบิดนิวเคลียร์) พลุ ฯลฯ
"ถ้าเรารู้ว่าอะไรทำให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้แตกตัว และกระบวนการแตกแยกนั้นเกิดได้อย่างไร เราก็จะสามารถรู้วิธีทำให้มันไม่แตกสลายได้ ...ณ วันนี้ วิทยาศาสตร์ของการแตกสลาย (fragmentation science) กำลังเป็นศาสตร์ที่น่าตื่นเต้นมาก"
ดังนั้นจึงเริ่มศึกษาจากอะไรง่ายๆก่อนครับ นั้นคือเส้นสปาเกตตีนี้เอง
แต่ที่น่าแปลกก็คือ ปัญหาเส้นสปาเกตตีนี้ แม้จะผ่านมือนักฟิสิกส์ที่เก่งกาจอยู่หลายคน พวกเขาก็ไม่สามารถพิชิตมันได้
หนึ่งในนักฟิสิกส์ผู้โด่งดังที่สนใจปัญหาเส้นสปาเกตตีนี้ ก็คือ ริชาร์ด เฟย์นแมน (Richard P. Feynman) ผู้ได้รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ที่ถือว่าเป็นรางวัลที่ทรงเกียรติที่สุดในโลกแล้วสำหรับนักฟิสิกส์ เฟย์นแมนนั้นพยายามให้เวลาทุกๆเย็นสำหรับพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ แต่ก็คิดไม่ออก
ที่จริง เฟย์นแมน คนนี้เจ๋งมาก เป็นนักฟิสิกส์ที่ศึกษาเกี่ยวกับ ควาร์ก(ส่วนย่อยเข้าไปอีกที่ทำให้เกิดโปรตอน นิวตรอน)และซูเปอร์ฟลูอิดิตี้(อะไรก็ไม่รู้) ส่วนที่งานที่สำคัญ
ที่ผมเองก็รู้จัก ก็คือเขาเป็นคนคิดวิธีรวมแรง แม่เหล็กไฟฟ้าเข้ากับนิวเคลียร์แบบอ่อนได้ ซึ่งก็เป็นงานที่ทำให้เขาได้รางวัลโนเบลนี้เอง
เท่าที่อ่านผ่านๆมา เป้าหมายของฟิสิกส์ในปัจจุบันนั้น มันก็คือการสร้างทฤษฎีที่สามารถอธิบายเพื่อรวมแรงพื้นฐาน 4 อย่างให้ถือเป็นแรงเดียวกัน (ก็เหมือนกับที่ฟาราเดย์รวมแรงแม่เหล็กกับไฟฟ้าบอกว่าเป็นของแบบเดียวกัน) ซึ่ง 4 แรงพื้นฐานมันก็มี แรงโน้มถ่วง แรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงนิวเคลียร์แบบอ่อน แรงนิวเคลียร์แบบเข้ม
เฟย์นแมนสามารถคิดเทคนิคการรวมแรง 2 ใน 4 แรงนี่ได้ก็คือเป็นก้าวสำคัญของวงการ
ที่จริงขณะนี้เองก็มีทฤษฎีที่อธิบายรวมแรงนิวเคลียร์แบบเข้มเข้าไปได้อีก ก็จะเหลือแต่ แรงโน้มถ่วงที่รวมไม่ได้
มีทฤษฎีที่พยายามจะรวมแรงโน้มถ่วงเข้ามารวมด้วยซึ่งจะทำให้เป็นทฤษฎีที่สามารถอธิบายแรงทุกอย่างในจักรวาล ซึ่งทฤษฎีที่ค่อนข้างได้รับการยอมรับนั้นมีชื่อว่า ทฤษฎีstring ยังไงก็ตามทฤษฎีนี้ ไม่สามารถบอกได้ว่ามันถูก เพราะว่ามันเป็นทฤษฎีที่หาผลการทดลองมายืนยันยังไม่ได้ ที่แท้อาจจะเป็นแค่เรื่องแต่ง... ถ้าจะทดลองรู้สึกว่าจะต้องสร้างเครื่องอะไรไม่รู้แพงมากๆ
นอกเรื่องปลาไหล เอ้ย ไปไกลเลย (มุกอะไร)
สรุป ขนาดเฟย์นแมนที่สามารถอธิบายเหตุการณ์ยานอวกาศ Challenger ระเบิดได้ ก็ยังไม่สามารถอธิบายเหตุการณ์สปาเกตตีหักได้ (เฟย์นแมนคนนี้มีชีวิตที่น่าสนใจมาก นอกจากจะเก่งยังเป็นคนที่อ่อนโยน ลองสัมผัสอ่อนโยนนี้ได้จาก http://www.onopen.com/2005/02/60)
ยังมี นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลอีกที่คิดปัญหานี้ไม่ออก ที่นอกจากจะคิดไม่ออกยังมีชื่อที่อ่านไม่ออกด้วย ชื่อว่า Pierre Gilles de Gennes เขาบ่นไว้ว่างานนี้มันเป็น an interesting problem which is still unsolved - even if it is essentially a simple one.
บทความที่อ่านก็จบลงเท่านี้ แต่ก็ทำให้เอะใจขึ้นมาเหมือนมีอะไรตะหงิดๆ
คิดไปคิดมา ก็จำได้ว่า ที่แท้ ไอ้ปัญหาสปาเกตตีนี้ ในที่สุดก็มีคนพิชิตมันได้แล้วในปีนี้เอง และทำให้ได้รับ 'รางวัลอิกโนเบล' ไปด้วย
ขยายความเผื่อคนไม่รู้หน่อย รางวัลอิกโนเบลก็คือรางวัลที่จะมอบให้กับงานวิจัยที่เพี้ยนๆ คนได้ยินแล้วขำว่าจะคิดไปทำไมเหมือนไม่มีประโยชน์อันใดต่อความเป็นไปในโลก งานเขามีสโลแกนว่า Research that makes people LAUGH and then THINK (จากวิจัยรางวัลอิกโนเบลปีนี้ก็เจ๋งเหมือนทุกปี ยกตัวอย่างนะครับ... มีวิจัยว่า วิธีการแก้สะอึกที่ได้ผลชะงัดนักแล นั้นทำได้ 2 วิธี 1.นวดก้นตามจังหวะการเต้นของหัวใจ 2.สำเร็จความใคร่ -_-" ...อ่านเพิ่มเติมได้ที่http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9490000124819)
จากการที่ ปัญหาเรื่องสปาเกตตีที่ในที่สุดก็ถูกแก้ได้ นั้นเป็นงานที่ได้รับรางวัลอิกโนเบลนี้ ทำให้ผมต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่ว่าคนที่ได้รับรางวัลงานวิจัยเพี้ยนๆนี้ ต้องเป็นคนมีความสามารถมากๆกว่าที่เคยคิดไว้ว่าแค่ทำอะไรขำๆ และคนมีความสามารถผู้นั้นได้แก่ นักวิจัยจาก the Pierre & Marie Curie University ชื่อว่า Basile Audoly และ Sebastien Neukirch
วิธีการศึกษาของเค้าก็คือ เค้าใช้กล้องถ่ายภาพความถี่สูง 1000 ภาพต่อวินาที แล้วสังเกตลักษณะการแตกของเส้นสปาเกตตี
ทั้งคู่ได้ใช้เส้นสปาเกตตีไปประมาณ 100 เส้น สำหรับการทดลอง เพื่อช่วยให้สามารถสร้างทฤษฎีที่อธิบายเหตุผลให้กับปรากฏการณ์ หลังจากนั้นใช้เวลาอีก 3 อาทิตย์สำหรับสร้างสมการและตรวจสอบสมการกับผลการทดลอง และอีกประมาณ 3 อาทิตย์สำหรับเขียนบทความ
เขาได้อธิบายไว้ว่า เมื่อเรางอเส้นสปาเกตตีจนถึงขีดจำกัดการแตกหัก(the breaking point) แล้วปล่อยปลายด้านหนึ่งโดยทันที จะเกิดแรงทำให้เส้น-ตรงและส่งคลื่น(burst of waves)ผ่านเส้นไปถึงอีกปลายด้านหนึ่งที่เรายึดไว้ ซึ่งจะสังเกตได้ว่า เมื่อส่วนหนึ่งเส้นเกิดการแตกออกไป คลื่นที่ถูกส่งไปจะเคลื่อนที่ในเส้นอีกส่วนซึ่งอยู่ในรูปร่างแบบใหม่ และทำให้เกิดการโค้งและเกิดการแตกขึ้นอีกครั้ง เมื่อแตกก็จะเกิดคลื่นใหม่อีกแล้วทำให้การอีกแตกอีก เป็นเช่นนี้ทั้งกับเส้นชนิดอื่นๆด้วย
เมื่อลองทดลองกับสปาเกตตีที่มี เส้นผ่าศูนย์กลางไม่เท่ากัน พบว่าเส้นที่บางจะสามารถโค้งงอได้มากถึงจะแตก แต่เส้นที่ใหญ่ๆจะงอได้น้อยกว่า ซึ่งเขากำชับไว้ว่า นี้ไม่ใช่เรื่องตลก(ไม่เห็นจะตลก ...หรือผมแปลมั่ว) เพราะมันเป็นสิ่งที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
สมมติ สปาเกตตีมีจุดแตก 2 จุด จุดแรกแตกเมื่อเวลา T0 อีกจุดเมื่อเวลา T1 ความยาวของเส้นสปาเกตตีระหว่างจุดแตก 2 จุดซึ่งยาว L จะขึ้นกับช่วงระยะเวลาที่เกิดจุดแตกทั้ง 2
L แปรผันตาม sqrt(T1-T0)
นี้คือกฎที่ทั้งคู่ค้นพบนั้นเองครับ (ถ้ากลัวผม แปลมั่วลองเข้าไปอ่านได้จาก http://www.dw-world.de/dw/article/0,2144,1724256,00.html)
ต่อไป เวลาวิศวกรจะสร้างอะไร ก็คงจะสามารถป้องกันการแตกหักได้ดีขึ้นละคราวนี้
จบเรื่องแล้วครับ
แต่ พอมาลองมองดูเรื่องที่ตัวเองเขียนไป
คิดว่า ถ้าผมไม่ได้อ่านโน้นอ่านนี้มา มาก่อนอยู่แล้ว ก็คงเอาตรงโน้นตรงนี้มารวมกันเป็นบล็อกนี้ได้ยากเหมือนกัน
การอ่านโน้นอ่านนี้เพื่อเป็นคลังความคิดผมคิดว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ ไม่ใช่แค่ไว้สำหรับมาเขียนบล็อกนะครับ
ปัญหาส่วนใหญ่ในชีวิต ผมว่าเราต้องใช้ความรู้หลายๆเรื่องเพื่อแก้ปัญหาเรื่องเดียว
"วิธีแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมให้ได้ผลจริงๆ ต้องใช้ตั้งแต่ความเข้าใจสาเหตุของปัญหา (วิทยาศาสตร์) แรงจูงใจของผู้ได้รับผลกระทบฝ่ายต่างๆ (เศรษฐศาสตร์) และผลกระทบด้านสังคมและวิถีชีวิต (มานุษยวิทยา) เพื่อสร้างกฎเกณฑ์กำกับแรงจูงใจเหล่านั้นให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น (กฎหมาย) และรณรงค์ในรูปแบบต่างๆ ให้คนทำตามกฎเกณฑ์เหล่านั้น (ศิลปะ) ด้วยจิตสำนึกที่ดี (ศาสนา)" (http://www.onopen.com/2006/01/1162) นี้คือตัวอย่างหนึ่ง ของสิ่งถ้าเรียกแบบมีระดับก็เรียกว่า การบูรณาการ
หลังจากจบ ม.6 มามีเวลามากขึ้น ผมก็ได้อ่านอะไรมากขึ้นมาก
ยิ่งรู้สึกว่าทุกๆอย่างยิ่งเชื่อมโยงกันมากขึ้นๆ
ทำให้ได้รู้ว่า...
เส้นก๋วยเตี๋ยวที่มีอยู่เกลื่อนโลก ทั้งอิตาลี(สปาเกตตี มะกะโรนี เส้นดำ) ญี่ปุ่น(ราโมง อุด้ง โซบะ) ไทย(เส้นเล็ก เส้นใหญ่ เส้นหมี่ บะหมี่) มีที่ไหนอีกหว่า... (เอ๊ะ ไม่เกลื่อนอย่างที่คิด พี่ป่านช่วยมาบอกด้วย มีที่ไหนอีก)
โคตรบรมปู่เส้นก๋วยเตี๋ยว เหล่านี้ เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่... (ให้เดา รับรองถูก)
จีน! ถูกต้อง
" ...Institute of Tibetan Plateau Research(สถานบันไรไม่รู้เกี่ยวกับ ทิเบต-_-") ได้รายงานว่า เขาได้พบไหที่ทำด้วยดินเผาใบหนึ่งที่เมือง Lajia ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจีนและอยู่ใกล้ปลายแม่น้ำเหลือง
...หลายใบที่ภายในมีเส้นก๋วยเตี๋ยว ไหเหล่านี้ฝังอยู่ใต้ดินที่ลึก 3 เมตร การวัดอายุของไหและของดินตะกอนในบริเวณนั้น แสดงว่า พื้นที่นี้ คือ แหล่งอาศัยของคนเมื่อ 4,000 ปีก่อน และเมื่อหมู่บ้านถูกน้ำท่วม และถูกแผ่นดินไหวถล่ม ผู้คนจึงอพยพทิ้งหมู่บ้านไปอย่างถาวร
...เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.3 เซนติเมตร ยาว 50 เซนติเมตร และมีสีเหลือง เพราะทำด้วยข้าวบาร์เลย์ (Hordeum) ข้าวสาลี (Triticum) และข้าวฟ่าง (Panicum) ซึ่งแสดงให้นักประวัติศาสตร์รู้ว่า คนจีนทำนาข้าวเหล่านี้เป็นตั้งแต่ 4,000 ปีก่อน "
สี่พันปีก่อน... พระเจ้า... ผมว่าคนสมัยนั้นคิดทำมันขึ้นมาได้ ตอนนั้นคงจะมีเทพเสน่ห์ปลายจวักเข้าสิงแน่ๆเลย
แต่นอกจากนี้ก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ดูไม่ใช่เรื่องเอาซะเลย เกี่ยวกับเส้นก๋วยเตี๋ยว
นั้นก็คือ นักฟิสิกส์เขาสงสัยว่า ทำไมเวลาเรางอเส้นสปาเกตตีจนแตกแล้ว มันไม่เคยจะหักครึ่งเป็น 2 ท่อนเลยสักครั้ง แต่จะหักเป็นหลายๆท่อนประมาณ 3 4 5 ท่อน พวกนักฟิสิกส์พวกนี้เค้าศึกษากันจริงจังเลยนะครับ
ดูไม่ใช่เรื่องใช่ปะครับ แต่ว่าก็ไม่ใช่เล่นนะครับ
เค้าบอกว่า เพราะธรรมชาติมีเหตุการณ์เกี่ยวกับการแตกสลายเต็มไปหมด เช่น ภูเขาไฟระเบิด กระจกโดนก้อนหินแตก นิวเคลียสของอะตอมแตกตัวเมื่อถูกนิวตรอนพุ่งชน(ที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์นิวเคลียร์ฟิชชั่น ที่ทำให้เกิดระเบิดนิวเคลียร์) พลุ ฯลฯ
"ถ้าเรารู้ว่าอะไรทำให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้แตกตัว และกระบวนการแตกแยกนั้นเกิดได้อย่างไร เราก็จะสามารถรู้วิธีทำให้มันไม่แตกสลายได้ ...ณ วันนี้ วิทยาศาสตร์ของการแตกสลาย (fragmentation science) กำลังเป็นศาสตร์ที่น่าตื่นเต้นมาก"
ดังนั้นจึงเริ่มศึกษาจากอะไรง่ายๆก่อนครับ นั้นคือเส้นสปาเกตตีนี้เอง
แต่ที่น่าแปลกก็คือ ปัญหาเส้นสปาเกตตีนี้ แม้จะผ่านมือนักฟิสิกส์ที่เก่งกาจอยู่หลายคน พวกเขาก็ไม่สามารถพิชิตมันได้
หนึ่งในนักฟิสิกส์ผู้โด่งดังที่สนใจปัญหาเส้นสปาเกตตีนี้ ก็คือ ริชาร์ด เฟย์นแมน (Richard P. Feynman) ผู้ได้รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ที่ถือว่าเป็นรางวัลที่ทรงเกียรติที่สุดในโลกแล้วสำหรับนักฟิสิกส์ เฟย์นแมนนั้นพยายามให้เวลาทุกๆเย็นสำหรับพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ แต่ก็คิดไม่ออก
ที่จริง เฟย์นแมน คนนี้เจ๋งมาก เป็นนักฟิสิกส์ที่ศึกษาเกี่ยวกับ ควาร์ก(ส่วนย่อยเข้าไปอีกที่ทำให้เกิดโปรตอน นิวตรอน)และซูเปอร์ฟลูอิดิตี้(อะไรก็ไม่รู้) ส่วนที่งานที่สำคัญ
ที่ผมเองก็รู้จัก ก็คือเขาเป็นคนคิดวิธีรวมแรง แม่เหล็กไฟฟ้าเข้ากับนิวเคลียร์แบบอ่อนได้ ซึ่งก็เป็นงานที่ทำให้เขาได้รางวัลโนเบลนี้เอง
เท่าที่อ่านผ่านๆมา เป้าหมายของฟิสิกส์ในปัจจุบันนั้น มันก็คือการสร้างทฤษฎีที่สามารถอธิบายเพื่อรวมแรงพื้นฐาน 4 อย่างให้ถือเป็นแรงเดียวกัน (ก็เหมือนกับที่ฟาราเดย์รวมแรงแม่เหล็กกับไฟฟ้าบอกว่าเป็นของแบบเดียวกัน) ซึ่ง 4 แรงพื้นฐานมันก็มี แรงโน้มถ่วง แรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงนิวเคลียร์แบบอ่อน แรงนิวเคลียร์แบบเข้ม
เฟย์นแมนสามารถคิดเทคนิคการรวมแรง 2 ใน 4 แรงนี่ได้ก็คือเป็นก้าวสำคัญของวงการ
ที่จริงขณะนี้เองก็มีทฤษฎีที่อธิบายรวมแรงนิวเคลียร์แบบเข้มเข้าไปได้อีก ก็จะเหลือแต่ แรงโน้มถ่วงที่รวมไม่ได้
มีทฤษฎีที่พยายามจะรวมแรงโน้มถ่วงเข้ามารวมด้วยซึ่งจะทำให้เป็นทฤษฎีที่สามารถอธิบายแรงทุกอย่างในจักรวาล ซึ่งทฤษฎีที่ค่อนข้างได้รับการยอมรับนั้นมีชื่อว่า ทฤษฎีstring ยังไงก็ตามทฤษฎีนี้ ไม่สามารถบอกได้ว่ามันถูก เพราะว่ามันเป็นทฤษฎีที่หาผลการทดลองมายืนยันยังไม่ได้ ที่แท้อาจจะเป็นแค่เรื่องแต่ง... ถ้าจะทดลองรู้สึกว่าจะต้องสร้างเครื่องอะไรไม่รู้แพงมากๆ
นอกเรื่องปลาไหล เอ้ย ไปไกลเลย (มุกอะไร)
สรุป ขนาดเฟย์นแมนที่สามารถอธิบายเหตุการณ์ยานอวกาศ Challenger ระเบิดได้ ก็ยังไม่สามารถอธิบายเหตุการณ์สปาเกตตีหักได้ (เฟย์นแมนคนนี้มีชีวิตที่น่าสนใจมาก นอกจากจะเก่งยังเป็นคนที่อ่อนโยน ลองสัมผัสอ่อนโยนนี้ได้จาก http://www.onopen.com/2005/02/60)
ยังมี นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลอีกที่คิดปัญหานี้ไม่ออก ที่นอกจากจะคิดไม่ออกยังมีชื่อที่อ่านไม่ออกด้วย ชื่อว่า Pierre Gilles de Gennes เขาบ่นไว้ว่างานนี้มันเป็น an interesting problem which is still unsolved - even if it is essentially a simple one.
บทความที่อ่านก็จบลงเท่านี้ แต่ก็ทำให้เอะใจขึ้นมาเหมือนมีอะไรตะหงิดๆ
คิดไปคิดมา ก็จำได้ว่า ที่แท้ ไอ้ปัญหาสปาเกตตีนี้ ในที่สุดก็มีคนพิชิตมันได้แล้วในปีนี้เอง และทำให้ได้รับ 'รางวัลอิกโนเบล' ไปด้วย
ขยายความเผื่อคนไม่รู้หน่อย รางวัลอิกโนเบลก็คือรางวัลที่จะมอบให้กับงานวิจัยที่เพี้ยนๆ คนได้ยินแล้วขำว่าจะคิดไปทำไมเหมือนไม่มีประโยชน์อันใดต่อความเป็นไปในโลก งานเขามีสโลแกนว่า Research that makes people LAUGH and then THINK (จากวิจัยรางวัลอิกโนเบลปีนี้ก็เจ๋งเหมือนทุกปี ยกตัวอย่างนะครับ... มีวิจัยว่า วิธีการแก้สะอึกที่ได้ผลชะงัดนักแล นั้นทำได้ 2 วิธี 1.นวดก้นตามจังหวะการเต้นของหัวใจ 2.สำเร็จความใคร่ -_-" ...อ่านเพิ่มเติมได้ที่http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9490000124819)
จากการที่ ปัญหาเรื่องสปาเกตตีที่ในที่สุดก็ถูกแก้ได้ นั้นเป็นงานที่ได้รับรางวัลอิกโนเบลนี้ ทำให้ผมต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่ว่าคนที่ได้รับรางวัลงานวิจัยเพี้ยนๆนี้ ต้องเป็นคนมีความสามารถมากๆกว่าที่เคยคิดไว้ว่าแค่ทำอะไรขำๆ และคนมีความสามารถผู้นั้นได้แก่ นักวิจัยจาก the Pierre & Marie Curie University ชื่อว่า Basile Audoly และ Sebastien Neukirch
วิธีการศึกษาของเค้าก็คือ เค้าใช้กล้องถ่ายภาพความถี่สูง 1000 ภาพต่อวินาที แล้วสังเกตลักษณะการแตกของเส้นสปาเกตตี
ทั้งคู่ได้ใช้เส้นสปาเกตตีไปประมาณ 100 เส้น สำหรับการทดลอง เพื่อช่วยให้สามารถสร้างทฤษฎีที่อธิบายเหตุผลให้กับปรากฏการณ์ หลังจากนั้นใช้เวลาอีก 3 อาทิตย์สำหรับสร้างสมการและตรวจสอบสมการกับผลการทดลอง และอีกประมาณ 3 อาทิตย์สำหรับเขียนบทความ
เขาได้อธิบายไว้ว่า เมื่อเรางอเส้นสปาเกตตีจนถึงขีดจำกัดการแตกหัก(the breaking point) แล้วปล่อยปลายด้านหนึ่งโดยทันที จะเกิดแรงทำให้เส้น-ตรงและส่งคลื่น(burst of waves)ผ่านเส้นไปถึงอีกปลายด้านหนึ่งที่เรายึดไว้ ซึ่งจะสังเกตได้ว่า เมื่อส่วนหนึ่งเส้นเกิดการแตกออกไป คลื่นที่ถูกส่งไปจะเคลื่อนที่ในเส้นอีกส่วนซึ่งอยู่ในรูปร่างแบบใหม่ และทำให้เกิดการโค้งและเกิดการแตกขึ้นอีกครั้ง เมื่อแตกก็จะเกิดคลื่นใหม่อีกแล้วทำให้การอีกแตกอีก เป็นเช่นนี้ทั้งกับเส้นชนิดอื่นๆด้วย
เมื่อลองทดลองกับสปาเกตตีที่มี เส้นผ่าศูนย์กลางไม่เท่ากัน พบว่าเส้นที่บางจะสามารถโค้งงอได้มากถึงจะแตก แต่เส้นที่ใหญ่ๆจะงอได้น้อยกว่า ซึ่งเขากำชับไว้ว่า นี้ไม่ใช่เรื่องตลก(ไม่เห็นจะตลก ...หรือผมแปลมั่ว) เพราะมันเป็นสิ่งที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
สมมติ สปาเกตตีมีจุดแตก 2 จุด จุดแรกแตกเมื่อเวลา T0 อีกจุดเมื่อเวลา T1 ความยาวของเส้นสปาเกตตีระหว่างจุดแตก 2 จุดซึ่งยาว L จะขึ้นกับช่วงระยะเวลาที่เกิดจุดแตกทั้ง 2
L แปรผันตาม sqrt(T1-T0)
นี้คือกฎที่ทั้งคู่ค้นพบนั้นเองครับ (ถ้ากลัวผม แปลมั่วลองเข้าไปอ่านได้จาก http://www.dw-world.de/dw/article/0,2144,1724256,00.html)
ต่อไป เวลาวิศวกรจะสร้างอะไร ก็คงจะสามารถป้องกันการแตกหักได้ดีขึ้นละคราวนี้
จบเรื่องแล้วครับ
แต่ พอมาลองมองดูเรื่องที่ตัวเองเขียนไป
คิดว่า ถ้าผมไม่ได้อ่านโน้นอ่านนี้มา มาก่อนอยู่แล้ว ก็คงเอาตรงโน้นตรงนี้มารวมกันเป็นบล็อกนี้ได้ยากเหมือนกัน
การอ่านโน้นอ่านนี้เพื่อเป็นคลังความคิดผมคิดว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ ไม่ใช่แค่ไว้สำหรับมาเขียนบล็อกนะครับ
ปัญหาส่วนใหญ่ในชีวิต ผมว่าเราต้องใช้ความรู้หลายๆเรื่องเพื่อแก้ปัญหาเรื่องเดียว
"วิธีแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมให้ได้ผลจริงๆ ต้องใช้ตั้งแต่ความเข้าใจสาเหตุของปัญหา (วิทยาศาสตร์) แรงจูงใจของผู้ได้รับผลกระทบฝ่ายต่างๆ (เศรษฐศาสตร์) และผลกระทบด้านสังคมและวิถีชีวิต (มานุษยวิทยา) เพื่อสร้างกฎเกณฑ์กำกับแรงจูงใจเหล่านั้นให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น (กฎหมาย) และรณรงค์ในรูปแบบต่างๆ ให้คนทำตามกฎเกณฑ์เหล่านั้น (ศิลปะ) ด้วยจิตสำนึกที่ดี (ศาสนา)" (http://www.onopen.com/2006/01/1162) นี้คือตัวอย่างหนึ่ง ของสิ่งถ้าเรียกแบบมีระดับก็เรียกว่า การบูรณาการ
หลังจากจบ ม.6 มามีเวลามากขึ้น ผมก็ได้อ่านอะไรมากขึ้นมาก
ยิ่งรู้สึกว่าทุกๆอย่างยิ่งเชื่อมโยงกันมากขึ้นๆ
ป้ายกำกับ: ก๋วยเตี๋ยว, การอ่าน, วิทยาศาสตร์, อิกโนเบล

0 Comments:
แสดงความคิดเห็น
<< Home