.comment-link {margin-left:.6em;}

 

30 ธันวาคม 2548

"แกจะคิดไปทำไม"



ในที่สุด เมื่อวันศุกร์(23 ธันวา)ที่ผ่านมา(นานแล้ว)นี้ ผมก็แก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ข้อนึงที่ผมตั้งขึ้นมาเองได้สำเร็จ (โดยได้รับความช่วยเหลือจากโพ)
ซึ่งผมภูมิใจมากๆครับ

ปัญหาที่ว่าก็คือ ผมจินตนาการสงสัยถึงการเคลื่อนที่ของ ปากกาที่ตั้งอยู่และเกิดถูกไสลด์ ทำให้ปลายปากกาเคลื่อนออกไปทิศใดทิศหนึ่ง โดยถ้าเรามองจากด้านบน หัวปากกายังคงอยู่ที่ตำแหน่งเดิม (ถ้าสงสัยนึกภาพไม่ออก ก็ลองดูรูปกราฟนะครับ ตัวปากกาคือเส้นสีเขียว)
คือจะเห็นได้ว่า ถ้าเราถ่ายรูปปากกาแชะๆไว้แต่ละช็อต แล้วเอาทุกช็อตมาซ้อนกัน เราก็จะเห็นเส้นโค้งด้วยแหล่ะ (ซึ่งก็คือเส้นสีส้มนั้นเอง) ผมก็เกิดตะหงิดๆว่า ไอ้เส้นๆนี้มันเป็นยังไง
มันเขียนเป็นสมการได้ว่ายังไงกันนะ !!!

y = sin3( cos-1( x1/3 ) )
ฮูวเร่! ผมได้มันมาหลังจากคิดอยู่ 2 วัน หลังจากคิดสมการผิดๆไป 2 สมการ และได้รับความช่วยเหลือจากโพในการแก้สมการเกี่ยวกับลิมิตและแคลคูลัส
ผมชอบมันมากๆเลยครับ เพราะมันสั้นและสวยงาม ไม่เหมือนกับสมการ 2 สมการแรกอัน ยุ่ง+ยาก+ยาว ที่คิดเอาไว้ ซึ่งมันผิดอีกต่างหาก
และต้องบอกว่า ผมรู้สึกถึงขั้นดีใจมากๆ ที่ทำได้ มันเป็นอะไรที่น่าดีใจมากนะครับกับการที่ เราเกิดนึกสงสัยอะไรขึ้นมา แล้วเราก็ได้คำตอบออกมาด้วยวิธีคิดของตัวเราเอง
เทียบกับการแก้โจทย์เลขในห้องเรียนที่ถูกยัดโจทย์มาให้ทำในเรื่องที่เพิ่งเรียน ความรู้สึกก็เหมือนฟ้ากับเหวเลยมั้งครับ
ที่จริง จุดหนึ่งที่ทำให้ผมดีใจ ก็คงเพราะว่ามันเป็นโจทย์ที่ผมใช้ความพยายามอยู่มากเหมือนกัน
ลองนึกถึงถ้าผมสงสัยแล้วคิดได้เลย ก็คงไม่ดีใจเท่าไหร่
แต่ผมถึงกับเสียเวลาคิดสมการผิดๆไปถึง 2 สมการ และยังต้องให้โพช่วยเหลือในกระบวนการบางส่วนอีกด้วย พอได้คำตอบออกมาก็เลยดีใจมากหน่อย
งานอะไรเราทุ่มเทมาก ให้เวลากับมันมาก เราก็จะเห็นมันมีค่ามาก รู้สึกมันเป็นส่วนหนึ่งของเรามาก และเมื่องานสำเร็จ เราก็จะดีใจมาก
ฉะนั้นจึงทำให้การแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ครั้งนี้ พิเศษกว่าครั้งก่อนๆมา เพราะครั้งก่อนๆนั้น มันเหมือนกับบังเอิญสังเกตแล้วปิ๊ง!.... ได้คำตอบ

ในชีวิตผม การค้นพบเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ของผมที่ยังอยู่ในความทรงจำ นั้นมีเหลืออยู่อีก 2 ครั้งเท่านั้น (ที่จริงก็ไม่รู้ว่ามีมากกว่านี้หรือเปล่า แหะๆ)

ครั้งแรกตอนอยู่ประมาณ ป.5-ป.6 ครับ(หรือราวๆนั้น) เป็นชั่วโมงอิสระพัฒนาตน ผมขึ้นไปพูดหน้าระดับเกี่ยวกับสูตรการคูณเลข 2 ตัวที่ลงท้ายด้วยเลข 5
เรื่องก็มีอยู่ว่า ตอนนั้นผมเพิ่งทราบสูตรการยกกำลัง 2 ของเลขที่ลงท้ายด้วยเลข 5 ( ตัวอย่างเช่น 35*35 ให้เอา (3+1)*3 มาต่อหน้าเลข 25 ฉะนั้นคำตอบก็คือ 1225 หรือ 115*115 ก็เป็น 12*11 ต่อหน้า 25 เป็น 13225 )
เวลาบ่ายๆของวันหนึ่ง ผมนอนเบื่ออยู่บนเตียง นอนอยู่ข้างๆเครื่องคิดเลข
ความสงสัยก็ผุดมาว่า ถ้านำตัวเลขที่ลงท้ายด้วยเลข 5 แต่ไม่ได้นำมาคูณกันเอง(นำมายกกำลัง 2) หากแต่เอามาคูณเลขที่ลงท้ายด้วย 5 ตัวอื่น จะได้ผลออกมาเป็นอย่างไร จะมีสูตรสำเร็จบ้างไหม...
ผมนั้นกดเครื่องคิดเลขอยู่ซัก 15 นาทีถึงครึ่งชั่วโมงก็เริ่ม เอ่ะใจว่า มันมีความสัมพันธ์อยู่ จึงไปทดเลขในกระดาษไปๆมาๆ ก็ได้สูตรมา ผมรู้สึกดีใจมากเหมือนกัน
ผมยังจำได้ชัดเจนถึงวันที่ ผมอธิบายเรื่องนี้หน้าระดับชั้นในอาคารอุบล แต่จนถึงวันนี้ผมยังไม่แน่ใจว่า คนเข้าใจที่ผมพูดหรือเปล่า (สูตรที่ผมว่า เอาเข้าจริงๆมันอาจไม่ได้ทำให้เร็วขึ้นเท่าไหร่เลย 555 ถ้าไม่คล่อง) หรือว่าเพราะผมพูดน่าเบื่อไม่ทราบ...

ครั้งต่อมา ตอนนั้นเรียนพิเศษเลขเพื่อเตรียมสอบ สสวท. คอมพิวเตอร์ เรียนกับพี่นัทครับ ก็เกิดคิด วิธีลัดหาว่าเลขติดแฟกทอเรียลเลขหนึ่งจะมี จำนวน x เป็นตัวประกอบกี่ตัว ขึ้นมาได้ (ตัวอย่าง 6! = 6*5*4*3*2*1 = 2^4 * 3^2 ถ้าถามว่า 6! มี 2 เป็นตัวประกอบกี่ตัว ก็คือ 4 ตัว)
เราก็เรียกกันวิธีคิดของผมนี้ในกลุ่มเล็กๆที่เรียนพิเศษว่า eig's method
ก็ถือเป็นความภูมิใจเล็กๆครับ
แต่ต่อมาผมพบว่า เรื่องที่ผมคิดได้นี้ มีอยู่แล้วในเรื่องบทเรียนของสถาบันเรียนพิเศษ (ซะงั้น!)

ล่าสุดก็คือ สมการปากกาแสนสวยงามของผมนี้แหล่ะครับ
y = sin3( cos-1( x1/3 ) )

ที่จริงแล้ว... ทั้ง 3 เรื่องนี้ ที่เป็นเรื่องซึ่งผมถือเสียว่าผมค้นพบด้วยตัวเองนี้ เป็นไปได้สูงมากทีเดียวที่จะมีการค้นพบมาก่อนนานแล้วและเป็นเรื่องที่ธรรมดามากๆ
ผมอาจมองมุมกลับมาว่า เราจะเสียเวลากับสิ่งที่มีอยู่แล้วเพื่ออะไร เราไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ได้ค้นพบอะไรเลย
คือ อาจจะเสียเวลา แต่ผมว่าสนุกดี

ผมเชื่อว่า มันไม่น่าลังเลครับ ที่จะทำในสิ่งที่เราสนุก ถ้าประโยชน์ที่ได้คุ้มกับเวลาที่เสีย
ก็บอกแบบนี้ก็เพราะว่า ผมคิดว่ามันน่าลังเลเหมือนกัน ถ้าจะทำอะไรก็ตามที่ได้ประโยชน์คุ้มกับเวลาที่เสียไป
แต่เราไม่สนุก...

ผมชอบนึกเสมอๆ ถึงคนๆหนึ่ง ที่ตั้งใจเรียนเอาเป็นเอาตาย ทุกๆวันอดทนขยันเพื่อจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยในคณะคะแนนสูงลิบ ไม่ทำอะไรอย่างอื่นนอกจากอ่านหนังสือ จะมีบ้างที่แบ่งเวลาไปอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ หรืออ่านตำราเล่นหุ้น
และก่อนวันสอบ เขาถูกรถชนตาย...
คงเป็นชีวิตที่ไม่สนุกเอาซะเลย ที่อดทนทำทุกๆอย่างเพื่อประโยชน์ในอนาคตเพียงอย่างเดียว
(เรื่องข้างบนเป็นเรื่องสมมตินะครับ)

กลับเรื่องเดิม
ผมคิดว่าการคิดวิธีการอะไรก็ตามที่เราไม่เคยรู้มาก่อนด้วยตัวเองนั้น ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรมากกว่าการเราทำความเข้าใจวิธีการของคนอื่นหลายเท่าตัว
กระบวนการคิดสมการครั้งล่าสุดนี้ ผมเริ่มต้นด้วยการสังเกตและจินตนาการการเคลื่อนที่ของปากกา แปลงมันเข้ามาในรูปของปัญหาทางคณิตศาสตร์ ทดลองใช้ความรู้ทางคณิตศาสตร์หลายๆด้านที่เคยเรียนมามาหาคำตอบ ผมคิดสมการออกมาแล้วตรวจหาจุดบอดว่าผิดหรือไม่ มันผิดไป 2 ครั้ง ผมคิดต่อไป และได้สิ่งที่ถูกต้อง(รึเปล่า?)ออกมา
เทียบกับการดูสูตร ดูที่มา ทำความเข้าใจ แล้วร้องอ๋อ (บางคนดูสูตรแล้วจำ แล้วจบ) ตามแบบฉบับการเรียนในห้องเรียนนั้น "กระบวนการคิด"ที่ผมได้ฝึกนั้น ผมคิดว่าแตกต่างกันมาก
ผมอยากให้การศึกษาของไทยเรา ฝึกคนให้ตั้งคำถามในชีวิต และหาคำตอบด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มากขึ้นกว่านี้
นี้มันไม่ใช่เรื่องที่อยู่แค่ในห้องเรียนหรือวิชาชีพ แต่มันเป็นวิถีการดำเนินชีวิตของคน

การเชื่ออะไรซักอย่างด้วยความไร้สาเหตุ...
การกู้เงินบริษัทสินเชื่อเกินตัว...
การใช้บัตรเครดิตทบหนี้บัตรเครดิตเดิมจนหนี้ล้น...
การเรียนแบบจำแล้วสะสมความไม่เข้าใจไป ทุกปีๆ...
ฯลฯ

เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดกับคนไทยครับ เพียงแค่เราไม่ขี้เกียจที่จะฝึก "คิด" สักนิด



และสมการปากกาของผมก็มีที่มาดังนี้ครับ

เส้นโค้งที่ผมต้องการจะหานี้ มันเกิดจาก ปากกายาว L หน่วยครับ
เมื่อเส้นปากกาทำมุม 90 องศากับแกน x กับเส้นปากกาทำมุม 89 องศากับแกน x มาซ้อนกันจะได้จุดตัด 1 จุด
เมื่อเส้นปากกาทำมุม 89 องศากับแกน x กับเส้นปากกาทำมุม 88 องศากับแกน x มาซ้อนกันจะได้จุดตัด 1 จุด
เมื่อเส้นปากกาทำมุม 87 องศากับแกน x กับเส้นปากกาทำมุม 87 องศากับแกน x มาซ้อนกันจะได้จุดตัด 1 จุด
....
เมื่อเส้นปากกาทำมุม 1 องศากับแกน x กับเส้นปากกาทำมุม 0 องศากับแกน x มาซ้อนกันจะได้จุดตัด 1 จุด

ถ้าเราลากเส้นต่อจุดจะได้เส้นที่หักมุมถี่ๆ เกือบเป็นเส้นโค้ง
ดังนั้นถ้าเรานำเส้นปากกาที่ มุมใกล้กันที่สุด มาตัดกันแล้วไล่ไปเรื่อยๆ ก็จะได้สมการคำตอบที่ต้องการออกมา

y = mx + b
y= - tan(THETA)x + Lsin(THETA) ___(1)
y= - tan(THETA+h)x + Lsin(THETA+h) ___(2) โดยที่ h=0
(THETA คือค่ามุมใดๆ)

เราจะหาจุดตัดของ 2 สมการว่า ตัดอันที่ x=เท่าไหร่

y(1) = y(2)
- tan(THETA)x + Lsin(THETA) = - tan(THETA+h)x + Lsin(THETA+h)
x { tan(THETA+h) - tan(THETA) } = Lsin(THETA+h) - Lsin(THETA)
x = {Lsin(THETA+h) - Lsin(THETA)} / {tan(THETA+h) - tan(THETA)}
x = {Lsin(THETA+h) - Lsin(THETA)} / {tan(THETA+h) - tan(THETA)} ; เติม /h เข้าไปทั้ง เศษและส่วน
x = [{Lsin(THETA+h) - Lsin(THETA)} / h] / [{tan(THETA+h) - tan(THETA)} / h] ; เติม /h เข้าไปทั้ง เศษและส่วน

d f(x) = ( f(x+h) - f(x) ) / h ; เมื่อ h=0 (นิยามการดิฟ)

x = d Lsin(THETA) / d tan(THETA)
x = Lcos(THETA) / (1/cos2(THETA))
x = Lcos3(THETA)

(เรื่องแคลคูลัสเรียนเมื่ออยู่ ม.6 ครับ ส่วนสูตร d sin(THETA) = cos(THETA) กับ d tan(THETA) = 1/cos2(THETA) สามารถหาอ่านเพิ่มเติมได้)
เรารู้แล้วว่า เส้นตรง2เส้นจะตัดกันที่ x =Lcos3(THETA)
ต่อไปเราก็หา ค่า y เมื่อ x =Lcos3(THETA) เพื่อจะได้รู้คู่อันดับ
โดยแทนค่า x ลงในสมการ (1)

y = - tan(THETA)x + Lsin(THETA)
y = - tan(THETA) Lcos3(THETA) + Lsin(THETA)
y = - sin(THETA) Lcos2(THETA) + Lsin(THETA)
y = Lsin(THETA) (-cos2(THETA) + 1)
y = Lsin(THETA) (sin2(THETA))
y = Lsin3(THETA)

เราจะได้คู่ลำดับ (x,y) = (Lcos3(THETA) , Lsin3(THETA))
จุดนี้คือจุดที่ปรากฏในสมการคำตอบเมื่อปากกาทำมุม THETA
เมื่อเราไล่มุม THETA ตั้งแต่ 90 - 0 เราก็จะได้ คู่ลำดับที่ถูกต้องแล้ววาดรูป เส้นโค้งที่ต้องการได้แล้วครับ
แต่เรายังไม่ได้ สมการเส้นโค้ง

สมการเส้นโค้งนั้น ต้องเขียนว่า y เท่ากับเท่าไหร่ในเทอม x

y = Lsin3(THETA)
Lเป็นค่าคงที่ แต่ THETA เป็นมุมใดๆ เราจึงต้องหาค่า THETA ในเทอม x

x = Lcos3(THETA)
x/L = cos3(THETA)
(x/L)1/3 = cos(THETA)
THETA = cos-1( (x/L)1/3 )

y = Lsin3( cos-1( (x/L)1/3 ) )
เป็นอันจบ

จากบทความข้างต้นเพื่อความสวยงามผมกำหนด ปากกายาว 1 หน่วยครับ
y = sin3( cos-1( x1/3 ) )



ต่อไป eig's method ถ้าเขียนเป็น function คอมพิวเตอร์จะเขียนได้แบบนี้ครับ คนที่อ่านโปรแกรมเป็นและไม่เป็น ลองอ่านดูครับ
int f(int number,int find)
{
if(number/find==0)
return 0;
return number/find + f(number/find)
}
จากฟังก์ชันนี้ number คือเลขที่ติดแฟคทอเรียล find คือเลขตัวประกอบที่เราต้องการหาว่ามีกี่ตัวครับ

27 ธันวาคม 2548

Tsunami, a year passed.

พอดีได้เห็นบล็อกของพอ ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อวันที่ 26 เป็นวันครบรอบเหตุการณ์สึนามิ...

ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่า วันนี้ของปีที่แล้ว (วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม 2547) ผมมามหา'ลัยด้วยความรู้สึกที่ไม่เคยมีมาก่อน... มีประเด็นการสนทนาเกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะมีใครมีญาติอยู่แถวนั้น ตกลงเหตุการณ์อะไรเป็นยังไง ข้อมูลหลั่งไหลสับสนจนไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด

ในระหว่างการพูดคุยนั้น ก็มีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า ตอนนี้เลือดกำลังขาดมาก ไปบริจาคเลือดกันมั้ย?

ผมรับอาสาไปด้วยอย่างไม่ลังเล เช่นเดียวกับคนอื่นๆ (ถึงแม้ว่าจะกลัวเข็มก็เถอะ)

ในบ่ายวันนั้นผมจำได้ว่าผมกับเพื่อนอีกสองคนโดดเรียนวิชาพละเพื่อไปไปโรงพยาบาล แต่น่าเสียดาย (หรือน่าโล่งใจก็ไม่รู้) ที่วันนั้นปรากฏว่าที่โรงพยาบาลได้รับเลือดจนเต็มจำนวนที่รับได้แล้ว

ณ เวลานั้น นอกเหนือจากความโล่งใจที่ไม่ต้องโดนเข็มเจาะและความเสียดายที่ไม่ได้ปล่อยพลังเลือดไปกู้ภัยแล้ว ผมยังรู้สึกภูมิใจอยู่ลึกๆ ว่าเราได้อยู่ในสังคมที่เต็มไปด้วยความเอื้ออาทรและห่วงใยกันมากแค่ไหน ถ้าเราเปรียบเทียบเหตุการณ์นี้กับเหตุการณ์พายุแคทรินาที่นิวออร์ลีนส์ ผมคิดว่าเราน่าจะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนของสภาพสังคม ทั้งความรวดเร็วในการให้ความช่วยเหลือ ทั้งจากรัฐบาล และพลเรือนทั้งประเทศ

ความภูมิใจนั้นทำให้ผมยิ้มได้เบาๆ โดยไม่รู้ตัว

และในวันนี้ เมื่อผมได้มองย้อนกลับไปเมื่อ 1 ปีที่แล้ว ความภูมิใจเล็กๆ นั้น ก็กลับมาอีกครั้ง

คุณรู้สึกเหมือนผมไหม?

19 ธันวาคม 2548

ประเทืองกับต้มส้มแสนรัก

*~~ อรุณเบิกฟ้า นกกาโบยบิน ออกหากินร่าเริงแจ่มใส เราเบิกบานรีบมาเร็วไว ยิ้มรับวันใหม่ ยิ้มให้แก่กัน~~*

ทุกอย่างเป็นปกติ ไก่ขันไปตั้งแต่รุ่งสางแล้ว ถึงเวลานี้ถนนหนทางต่างๆภายในเมืองหลวงนี้ ก็เต็มไปด้วยรถราแน่นขนัดเหมือนกับทุกวัน ตอนนี้เป็นชั่วโมงเร่งด่วนของหลายต่อหลายคน บนท้องถนนทั่วเมือง
แต่ไม่ใช่ของ ประเทือง
...

แปดโมงเช้าวันอังคาร
ไม่มีสิ่งใดมาทำลายความสบายของเขาได้ ประเทืองหลับสนิท ไม่มีภาระ ไม่มีหน้าที่ ไม่ต้องรีบเร่งเหมือนกับเหล่ามนุษย์เงินเดือนทั้งหลาย
ไม่ต้องสงสัย
เขาตกงาน
...

เก้าโมงเช้าวันอังคาร
ประเทืองตื่นขึ้น
พร้อมกับ ความทรงจำสีจาง
"ไม่ได้ให้ปุ๋ย ต้นส้มแสนรัก มานานแล้วนะเนี่ยเรา" เขาคิด และตัดสินใจเดินตลาดทันใด

"เอ่อ คุณครับ ขอประทานโทษ--"
คนขายปุ๋ยหันหน้ากลับมา "ว้าย!.... " ไม่รู้เป็นอะไร ตะโกนดังมาก
"เอ่อ ผมจะมาขอซื้อ--"
"ว้าย!! "
"เป็นอะไรหรือปะ เปล่..."
"ว้าย!!! นี่มันประเทืองนี่หว่า... ว้าย ว้าย ว้าย นี่มันประเทืองนี่หว่า..." และก็ร้องเช่นนี้ไปเรื่อยๆ
เขาคิดว่า คงจะไม่สามารถ ซื้อปุ๋ยที่นี่แล้ว เพราะคนขายสติแตกแบบนี้ ตัดสินใจนั่งเครื่องบินไปอเมริกาทันที

"Good morning"
"Good morning อ้าว คนไทยหรือเปล่า!! สวัสดี ผมชื่อบังรอน เคยหากินอยู่ที่เมืองไทยนั้นแหล่ะ ตอนนี้สบายแล้ว จะซื้อปุ๋ยให้ต้นส้มแสนรักละสิใช่ม้า 50 บาท"
ประเทืองจ่ายเงินไป และคิด
คนขายคนนี้หน้าตาคุ้นมาก เขาคุ้นว่า เคยเห็นบังรอนในหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งที่ไหนมาก่อน แต่ก็ไม่คิดอะไรต่อ
"โชคดีเด้อ แล้วมาอุดหนุนบ่อยๆนะ" บังรอนส่งถุงปุ๋ย เกรดปุ๋ยเขียนไว้ไม่ค่อยชัดว่า 15-15-15 เขาส่งให้ประเทือง ประเมืองรับปุ๋ยมาอย่างไม่คิดมากแล้วหันหลังนั่งเครื่องบินกลับเมืองไทยบัดเดี๋ยวนั้น
"หึหึหึ..." รอยยิ้มกริ่มพร้อมกับเสียงเค้นหัวเราะเบาๆของชายผู้เคยอยู่บนหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่ง
ประเทือง หนอ ประเทือง คงเป็นเพราะพรหมลิขิตมา ทำให้เขาไม่สามารถมองเห็นรอยยิ้มปิศาจ และร่องรอยแปลกประหลาดบนเกรดปุ๋ยได้เลย
...

ระหว่าง flight
ประเทืองฉุกคิดอะไรได้บ้างอย่าง!! เขาตกใจกับความคิดนี้จนกระโดดลุกขึ้นหัวชนที่ใส่กระเป๋าเหนือหัวในเครื่อง ทุกคนหันมามอง รู้สึกอายนิดหน่อยจึงรีบนั่งลง
"ทำไมที่อเมริกาใช้เงินบาท"
เขาคิด และผลอยหลับไปทันที
...

"จะขอ ก็รีบขอ อย่ารอ ให้ถึงปีหน้า ของอื่นเขาขึ้นราคา แต่ค่าตัวน้องรับรองยังเหมือนเดิม~~* "
ประเทืองชอบร้องเพลงระหว่างเดินกลับบ้านเป็นที่สุด
และ... ถึงบ้านแล้ว เขาตัดสินใจใส่ปุ๋ย รดน้ำ ต้นส้มแสนรัก ของเขาตามลำดับขั้นตอนที่ถูกต้อง ด้วยความชำนาญระดับพระกาฬ และด้วยความรักเป็นที่สุด
เสร็จแล้ว จูบต้นส้มของเขาหนึ่งที และเข้านอน
...

แปดโมงเช้าวันอังคาร ของสัปดาห์ต่อมา
ประเทืองตื่นขึ้นมาความกับความสดใส รีบเดินลงบันไดเพื่อลุ้นจะเห็นความรุ่งโรจน์ของต้นส้มที่ได้รับปุ๋ยของเขา
แอ้ด.ด..ด.... เสียงประตูห้องน้ำเปิดออก พ่อของประเทือง-- ประทุม เดินออกมา
"พ่อท้องผูก นั่งนานไปหน่อย"
เขาไม่สนใจ เดินออกไปหลังบ้าน ไปสู่สุดที่รัก

!

นี่คือความตกใจ
ประเทือง สะดุ้งลงไปนอนดิ้นกระแด่วๆ 3 ทีพร้อมกับอุทานอย่างเป็น ธรรมชาติที่สุดว่า
"โอ้ว ทำไมต้นส้มแสนรักของเราถึงมีอาการดังนี้ 1. ใบอ่อนมีสีเหลืองระหว่างเส้นใบ แต่เส้นใบมีสีเขียว 2.เนื้อเยื่อใบตาย 3.ขอบใบไหม้ ต้มส้มแสนรักของข้า ทำไมถึงอยุ่ในสภาพเช่นนี้"
หลังจากอุทานออกมาอย่างไม่รู้ตัวเลย เขาก็ตั้งสติได้
ภาพรอยยิ้มปิศาจของบังรอนแห่งอเมริกา โผล่ขึ้นมาในสมอง
ประเทืองกระโจนพุ่งไปดูร่องรอยแปลกประหลาดที่เกรดปุ๋ย
"มันจะต้องไม่ใช่เกรด 15-15-15 ที่เหมาะสมเป็นแน่" เขาคิด
ความโกรธปะทุออกมาจากจิตใจ แต่ทำอะไรไม่ได้
กราดสายตาหารอยลบ จากเลข 4 กลายเป็น เลข 1 อย่างว่องไว
ในที่สุด ภาพเลวร้ายที่สุดในชีวิตของเขาก็ต้องประทับติดความทรงจำสีจางของเขาไปชั่วชีวิต

คำถาม::
เกรดปุ๋ยที่ประเทืองเห็นคืออะไร
ก. 45-15-15
ข. 15-45-15
ค. 15-15-45
ง. ถูกทุกข้อ






ผมหวังว่า ผู้ที่อ่านคงจะสนุกกับเรื่องนี้บ้าง มากน้อยแล้วแต่คนนะครับ

อยากจะพูดถึง "ต้มส้มแสนรัก" ไว้สักนิด

ต้มส้มแสนรัก เป็นหนังสืออมตะครับ
เป็นหนังสือที่บีบอัดชีวิตเด็กชายในละตินอเมริกาคนหนึ่งเอาไว้ภายใต้ตัวหนังสือไม่กี่หน้า ชีวิตที่มีอยู่จริงในสังคมที่นั้น ชีวิตที่อาจจะทำให้ใครต่อใครหลั่งน้ำตา
หลังจากที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้จบลง หลากหลายความรู้สึกที่โถมเข้าสู่จิตใจผม และผมก็ซึมซับมันเอาไว้

และก็ทำให้เกิดข้อสังเกตขึ้นมานิดหน่อย

ผมคิดว่า ความละเมียดของความรู้สึกนั้น เราไม่สามารถหาได้ในหนังสือเรียนเท่าไรเลยนะครับ

18 ธันวาคม 2548

A little screw makes building building.

แค่น็อตตัวเดียวก็ทำให้ตึกเป็นตึกได้...

นั่นคือประเด็นที่เราควรต้องมาพิจารณากันหรือยัง?

คงต้องยอมรับว่า ในสังคมปัจจุบัน เราดูจะให้ความสำคัญกับ "หน้างาน" มากกว่า "เบื้องหลัง" ดังจะเห็นภาพสะท้อนจากสื่อต่างๆ ที่ให้ความสำคัญกับหัวหน้างานเป็นเหมือนผู้ที่นำพาความสำเร็จมาสู่งานนั้นๆ หรืออย่างเหล่าดารานักร้องต่างๆ ที่มักเป็นข้อสรุปว่า นักร้องนำคือหัวหน้าวง และใช้นักร้องนำเป็นตัวหลักในการทำตลาด โดยที่ผู้คนส่วนมากก็จะมองเห็นและยกย่องชื่นชมความสามารถของบุคคลนี้ ทั้งๆ ที่ความสำเร็จจริงๆ ยังมีองค์ประกอบอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เล่นดนตรี คนแต่งเพลง เนื้อร้อง โปรดิวเซอร์ และอีกสารพัด แม้แต่คนทำเสื้อผ้าหรือช่างแต่งหน้าก็ตาม

ทุกหน้าที่มีความสำคัญในตัวมันเอง หากนักร้องไม่มีคนแต่งเพลงที่โดนให้เพลงจะดังได้อย่างไร หากโปรดิวเซอร์ไม่สามารถคิดรูปแบบที่ดีได้ก็คงดังไม่ได้เช่นเดียวกัน

เฉกเช่นเดียวกับการทำงานต่างๆ หัวหน้างานไม่ใช่ผู้ที่เก่งที่สุด แต่ทุกหน้าที่จำเป็นต้องมีบทบาทและความสำคัญในตัวมันเอง ผมเชื่อเสมอว่า คนที่เป็นหัวหน้านั้น ไม่ใช่คนที่ทำงานเก่ง เพียงแต่เป็นคนที่ประสานงานเก่ง สั่งงานเก่ง และมองปัญหาได้เก่งเท่านั้นเอง

ผมอยากให้ทุกคนเชื่อว่า ทุกหน้าที่มีความสำคัญในตัวมัน โดยใช้รูปแบบและความสามารถเฉพาะตัวที่แตกต่างกันไป และทั้งระบบจะสำเร็จไม่ได้ ถ้ามีเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งที่ขาดหายไป

ถึงเวลาที่คุณควรจะคิดว่า คุณทำหน้าที่ของคุณได้ดีพอหรือยัง? ขอฝากถึงน้องๆ ในชมรม อยากให้ทุกคนภูมิใจในหน้าที่ของตนเอง และทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด งานจะสำเร็จไปไม่ได้ หากขาดเราไป

03 ธันวาคม 2548

Evidence-based thinking | Plagiarism

เมื่อวานนี้ตอนต้นชั่วโมง Ethics อาจารย์สมเกียรติมาพูดเกี่ยวกับการนำเสนองาน มีส่วนหนึ่งที่พูดถึงการเป็น evidence-based

ที่จริง evidence-based medicine ผมเห็นว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ควรจะปลูกฝังให้นิสิตแพทย์ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะกว่าที่จะได้เรียนเอาตอนปีสามมันค่อนข้างสายที่จะปรับเปลี่ยนทัศนคติและกระบวนการคิด ความจริงที่อาจารย์สมเกียรติพูดมาแล้ว 2-3 ครั้งผมยังคิดว่าไม่ได้นำเสนอในมุมมองที่สะท้อนให้เห็นความสำคัญเพียงพอ และอาจยังไม่เข้าถึงนิสิตได้จริง ๆ

ถ้าจะให้ยกตัวอย่างง่าย ๆ ก็อย่างเรื่องน้ำดื่ม reverse osmosis นั่นแหละครับ...


แต่เรื่องที่อยากจะพูดถึงมานานแล้วเหมือนกัน ที่อาจารย์พูดถึงนิดหนึ่ง คือ plagiarism

"plagiarize
v. plagiarized, plagiarizing, plagiarizes
v. tr.
To use and pass off (the ideas or writings of another) as one's own.
To appropriate for use as one's own passages or ideas from (another).
v. intr.
To put forth as original to oneself the ideas or words of another."
Source: The American Heritage? Dictionary of the English Language, Fourth Edition
Copyright ? 2000 by Houghton Mifflin Company.
Published by Houghton Mifflin Company. All rights reserved.
- Provided by Reference.com

ประเด็นที่อาจารย์พูดถึงเรื่องนี้จริง ๆ ก็มีอยู่ไม่มาก (คือตรงที่ว่าเวลาที่หาข้อมูลมาแล้วต้องสรุปความเรียบเรียงให้เหมาะสม ไม่ใช่ copy มาทั้งดุ้นโดยบางทีก็ยังไม่ได้อ่าน) แต่ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ถูกมองข้ามความสำคัญไปมากในสังคมการศึกษาของเราในปัจจุบัน

เวลาที่ทำงานร่วมกับเพื่อน ๆ บางครั้งผมเองก็ค่อนข้างอึดอัดใจที่เพื่อนทำงานโดย copy มาจากแหล่งบนอินเทอร์เน็ตทั้งดุ้นแบบที่อยากจะหา reference แล้ว Google หาเอาได้เลยว่ามาจากที่ไหน ผมคงว่าเพื่อนที่ทำแบบนั้นไม่ได้ แต่คงต้องโทษระบบการศึกษาและลักษณะสังคมของเราที่ไม่ให้ความสำคัญกับทรัพย์สินทางปัญญาเท่าที่ควร และไม่ได้สอนให้เข้าใจถึงแก่นแท้ของการทำงานเช่นนี้ (เวลาทำรายงาน เราพยายามที่จะรวบรวมข้อมูลจากหลาย ๆ แหล่งแล้วทำความเข้าใจ วิเคราะห์ สังเคราะห์ แล้วเรียบเรียงด้วยถ้อยคำของเราเอง หรือ copy ข้อมูลมาแปะให้รายงานหนาที่สุดเท่าที่จะทำได้มากกว่ากัน?)

ผมก็เคยทำแบบข้อต้นบ่อย ๆ แต่พอได้อ่านบทความโดย Paul D. Rosevear ถึงเริ่มตระหนักได้ว่านิสัยการทำงานอย่างที่เราทำกันบ่อย ๆ ไม่ว่าจะเพื่อทำให้งานนั้นเสร็จ ๆ ไปหรือเพราะไม่รู้ว่าวิธีที่เหมาะสมเป็นอย่างไร เป็นเพียงสิ่งที่ถูกปลูกฝังมาจากความผิดพลาดของระบบการศึกษาที่มองข้ามแก่นของกระบวนการเรียนรู้ตรงนี้ไป

อย่างไรก็ตาม เฉพาะตัวเอง ถ้ารู้แล้ว เราคงไม่ทำสิ่งที่ไม่ถูกต่อ เพียงเพราะมันง่ายกว่า... ใช่ไหม?

- 3/12/2005