.comment-link {margin-left:.6em;}

 

15 กันยายน 2548

สรุปสิ่งที่ได้จากการฟังเมืองไทยรายสัปดาห์

ช่วงนี้เวลาเบื่อเซ็งๆ ก็มักฟังรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งพี่อาร์ตเป็นคนแนะนำมา ฟังแล้วเรารู้สึกห่วงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของเมืองไทยมากเลย จะสรุปเรื่องหลักๆ ที่ได้จากการฟังเอาไว้ เผื่อว่าใครมาอ่านแล้วจะได้เป็นการปากต่อปาก คีย์บอร์ดต่อคีย์บอร์ด บอกเล่าเรื่องลึกๆ ของเมืองไทยให้ได้รับฟัง/อ่านกัน
(เรื่องที่จะเขียนเป็น fact และ opinion รวมกัน - ระวัง! โปรดผ่านสมองส่วนคิดก่อนส่วนจำ)
(เรื่องที่จะเขียนนี้ ฟังมาจากรายการเมืองไทยรายสัปดาห์แล้วเอามาย่อ ไม่ได้เป็นความคิดตัวเองเลย)

1. เรื่องการแปรรูปปตท.
เรื่องนี้คุณสนธิพูดบ่อยมาก คือปตท.เนี่ยเดิมมันเป็นรัฐวิสาหกิจเต็มตัว จากนั้นเค้าก็แปรรูปมันมาเป็นเอกชนเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์ 30% - ทำไปทำไม? แล้วเมื่อที่ผ่านมาก็ออกมาเผยตัวเลขกำไรอย่าง "อัปลักษณ์ที่สุด" คือตั้งกี่หมื่นกี่พันล้านจำไม่ได้ คือถ้าปตท.ไม่แปรรูปเนี่ย กำไรที่ได้มาทั้งหมดก็จะเข้ารัฐ ซึ่งรัฐก็สามารถนำกำไรส่วนนี้เนี่ยไปช่วยลดราคาน้ำมันในไทยเพื่อช่วยเหลือประชาชนได้ แต่ไอ้ 30% ที่เป็นหุ้นขายไปเนี่ย มันไปอยู่กะใคร น้อยนิดมากๆ ที่จะอยู่ในมือประชาชน ที่เหลือส่วนมากก็ไปอยู่ในมือนักการเมืองบางคน หรือไปอยู่กับ nominee บริษัทต่างชาติจากสิงค์โปร์บ้างฮ่องกงบ้าง ซึ่งไม่เปิดเผยตัว จุดนี้ทำให้เห็นว่าการแปรรูปเีนี่ยมีเบื้องหน้าเบื้องหลังเกี่ยวกับผลประโยชน์

พูดถึงเรื่องการแปรรูป คือปกติทั่วไปถ้าแปรรูปก็ควรจะแปรรูปทั้งหมด 100% ให้เป็นเอกชนเต็มตัว ซึ่งก็อาจจะทำให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารและลดต้นทุนได้ แต่ไอ้การแปรแค่ 30% เนี่ยรัฐยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ก็คือยังถือเป็นรัฐวิสาหกิจอยู่ นั่นคือได้สิทธิต่างๆ ตามกฏหมายของรัฐวิสาหกิจเช่นสิทธิการผูกขาดเป็นต้น นั่นคือไอ้ 30% ที่เข้ามาถือหุ้นเนี่ย มันมาอิงแอบอาศัยสิทธิประโยชน์ของรัฐวิสาหกิจในการทำกำไรให้แก่ตัวมัน ส่วนประชาชนต้องเรียกว่าเสียผลประโยชน์จากการแปรรูปนี้ โดยเฉพาะการขึ้นราคาของน้ำมัน ถ้าถามว่าราคาน้ำมันกระทบคนมั้ย พวกคนที่เป็นมนุษย์เงินเดือนในเมืองก็คงกระทบบ้างแต่ไม่เสียหายเท่าไร แต่ชาวนาที่ต้องใช้น้ำมันดีเซลเติมรถอีแต๋นทำงานไถนาเนี่ยสิ ราคาดีเซลขึ้นไปกว่า 100% ต้นทุนเค้าก็เพิ่มขึ้น แล้วรายได้พวกเค้าจะเหลือสักแค่ไหน

สรุป การแปรรูปแค่ 30% ที่รัฐบาลอ้างว่าจะทำให้ประสิทธิการทำงานของปตท.ดีขึ้น มันไม่ได้ดีขึ้นหรอก ถ้าจะให้ดีก็ต้องแปรเต็มตัว แต่ที่แปรนี่เพราะมีคน(ในรัฐบาลมั้ย?)ได้อิงแอบความเป็นรัฐวิสาหกิจทำกำไรจากปตท.ในฐานะผู้ถือหุ้น แล้วคนรับกรรมก็ใครล่ะครับ ประชาชน

2. เรื่องเกี่ยวกับพระราชอำนาจ
คืองี้เริ่มจาก backgroud ก่อน
คือปกติเวลาจะแต่งตั้งหน้าที่ทางการเมืองกับใครเนี่ย ส่วนใหญ่วิธีการคือรัฐบาลจะต้องกราบทูลหนังสือขึ้นไปให้พระเจ้าอยู่หัวทรงเซ็น (เราโง่ราชาศัพท์ง่ะ) ทีนี้ก็มีหนังสือกราบทูลขึ้นไปจะแต่งตั้งคนคนนึง เราจำชื่อไม่ได้ว่าชื่ออะไร ปกติเนี่ยก็จะได้รับกลับมาภายใน 48 ชั่วโมง แต่นี่เป็นสองสามเดือนแล้วยังไม่ได้รับหนังสือแต่งตั้งกลับมา นั่นแสดงว่าในหลวงทรงส่งสัญญาณอะไรบางอย่างมาให้รัฐบาล คือในหลวงจะทรงเซ็นหรือไม่เซ็นหนังสือแต่งตั้งก็ได้ แต่คุณสนธิใช้คำบอกว่าให้รัฐบาลอย่าเห็นในหลวงเป็น "ตรายา์ง" ที่ส่งอะไรขึ้นไปก็จะทรงเซ็นให้ สิ่งที่รัฐบาลควรทำก็คือขอเข้าเฝ้าเข้าไปขออภัยโทษ แล้วขอคำแนะนำจากในหลวงว่าควรจะแต่งตั้งใครแทนดี

3. เกี่ยวกับปัญหาภาคใต้
การแก้ปัญหาภาคใต้ อย่างแรกที่ควรจะต้องทำก็คือต้องยอมรับในความแตกต่างทางภาษา ศาสนา วัฒนธรรม ประวัิติศาสตร์ ของพื้นที่ภาคใต้ก่อน แต่รัฐบาลชุดนี้ไม่ได้ทำแบบนั้น กลับใช้ความรุนแรงเสียมากกว่า ซึ่งจะทำให้ประชาชนในพื้นที่ไม่ให้ความร่วมมือ นี่ยังรวมถึงการที่รัฐบาลไม่รับผิดชอบกับคนที่หายไป หรือการฆ่าผิดตัว สิ่งที่ผู้ก่อการร้ายต้องการคืออะไร เราต้องเข้าใจจุดนี้ ผู้ก่อการร้ายเนี่ยภาษาอังกฤษคือ terrorist นั่นคือเค้าต้องการให้เกิด terror หรือความกลัวซึ่งจะนำไปสู่การใช้กำลังเข้าปราบปรามและปัญหาก็จะบานปลายไม่จบ เกิดเป็นความไม่สงบวุ่นวาย จากประวัติศาสตร์ ไม่เคยมีความรุนแรงไหนที่แก้ได้ด้วยความรุนแรง ดังนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำก็คือมองย้อยหลังความเป็นมาเพิ่อทำความเข้าใจพื้นที่ภาคใต้ตรงนั้น

นอกจากนี้ยังมีเรื่องสนามบินหนองงูเห่า เรื่องสมเด็จพระสังฆราช ฯลฯ แต่มันยาว ไว้ต่อภาคสอง

13 กันยายน 2548

Be yourself

มีหลายครั้งที่เราพบว่าเราอยากเป็นเหมือนคนอื่น
อยากเก่งกีฬา
อยากเก่งดนตรี
อยากเก่งภาษา
อยากนิสัยดี
แต่ก็ได้แต่อยาก ไม่เคยพยายามไต่ไปเพื่อที่จะเป็น ด้วยความขี้เกียจสันหลังยาว
เวลาว่างๆ ว่างมากจนไม่มีอะไรทำก็เลยมานั่งคิดเรื่อยเปื่อย
คิดไปว่า เออ...ถ้าสามารถออกแบบตัวเองได้ อยากให้ตัวเองเป็นยังไง
แน่นอน เราจะต้องคิดถึงการเป็น perfect man - ดีัมันทุกอย่าง เก่งทุกอย่าง นิสัยพ่อพระ
และแน่นอน ว่ามันเป็นไปไม่ได้
เอาล่ะ มาคิดใหม่ คิดเหมือนการสร้างตัวละครในเกมที่มันจะมี point มาให้แล้วเราเอาไปใส่ในความสามารถด้านต่างๆ
ก็ถามตัวเองว่าถ้ายอมโง่เลขโง่วิทย์ แล้วเก่งกีฬาเก่งดนตรี เอามั้ย เปลี่ยนมั้ย
ก็มาเปรียบเทียบก็ดีข้อเสียกัน มันก็มีต่างๆ นานาเกินกว่าที่จะขยันพิมพ์ลงมาในนี้
แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดที่เป็นข้อดีของฝั่งไม่เปลี่ยน (ห่วยกีฬาและดนตรีเหมือนเดิม) ก็คือความพอใจกับตัวเองในปัจจุบัน
ถึงจะไม่ได้ perfect แต่เราก็ชอบสภาพของตัวเองที่เป็นอยู่ และคงรับไม่ได้ที่จะโง่เลขโง่วิทย์จริงๆ
เพราะนั่นมันคือตัวเรา
เราเป็นอย่างที่เราเป็น เพราะเราเลือกที่จะเป็นอย่างนี้
จริงมั้ย
ผลเกิดจากเหตุ และเหตุย่อมแสดงผล
เรากำหนดการกระทำตัวเรา การกระทำตัวเราสร้างตัวตนของเรา
เราสร้างตัวเองขึ้นมาแบบนี้ เพราะเราอยากเป็นแบบนี้

แต่ปัจจุบันเห็นได้ว่าคนเราโดยเฉพาะวัยรุ่นจะมีค่านิยมเลียนแบบคนดัง (celebrities)
เออ...แต่ก็ยังไม่เห็นเพื่อนคนไหนเลียนแบบน้องแนท
...
กลับเข้าเรื่อง เอาเป็นว่าโดย general case ละกัน
เวลาเลียนแบบเขาเนี่ย เราอยากเป็นแบบนั้นจริงหรือ?
หรือแค่อยากทำตามเท่ๆ อยากทำตามเพื่อเข้าสังคมกับคนอื่นได้ (ถ้าไม่ทำตามมันก็เข้าสังคมได้อยู่ดีนี่หว่า)
มันคือตัวเราหรือ? เรามีความสุขกับสิ่งที่เป็นหรือ? มันไม่หนักหรือที่ต้องแบกเปลือกนอกอื่นบนตัวเรา?
เป็นตัวเองไม่ดียังไง? อย่าดูถูกตัวเอง! เพราะเราเชื่อว่าทุกคนมีดีในตัวที่ไม่มีใครเหมือน มีเอกลักษณ์
แต่ถ้าเราเลียนแบบคนอื่น นั่นคือไร้เอกลักษณ์ ความเป็นตัวตนคนหนึ่งนั้นหายไปไหน!
อยากให้ลองค้นหาตัวเองว่าตัวเองจริงๆ เป็นอย่างไร ลองใช้เวลาเงียบคนเดียวคิดเกี่ยวกับตัวเอง ย้อนไปในอดีตแล้วมองดูว่าตัวเองเป็นอย่างไร
แล้วเป็นตัวของตัวเองเถอะ

***นี่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ควรพัฒนาตัวเอง
ความสามารถในการเรียนรู้ การพัฒนาตัวเองในด้านต่างๆ ก็เป็นตัวของเราเหมือนกัน อย่าเข้าใจผิด
เช่นเอกลักษณ์บางคนคือเรียนรู้เร็ว เอกลักษณ์บางคนคือปรับปรุงตัวเองสม่ำเสมอ

ตอนนี้ก็ใกล้เอน (รึยัง?) ยังนี่นามันเปลี่ยนระบบใหม่อีกแล้ว
สงสัยกระทรวงศึกษาอยากให้นักเรียนรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง อยากให้นักเรียนติดตามข่าวสาร เลยต้องเปลี่ยนให้ตามไม่ทัน
เอาเหอะ...
อยากฝากบอกว่าเลือกอะไรที่รักที่จะเรียนนะครับ
บางทีสิ่งที่เรียนไปเนี่ยมันจำเป็นต้องเอาไปทำงาน
แล้วคนทำงานเนี่ย ตัวเราเองแบ่งเป็นสามประเภท
1 เพื่อเงิน
2 เื่พื่อเงินและความสุขจากการทำงาน
3 เพื่อความสุขจากการทำงาน
เวลาทำงานเราต้องใช้เวลาจริงมะ (ดูพูดซ้ำซ้อนว่ะ)
เวลาในชีิวิตมีจำกัด ใช้มันให้มีความสุขดีกว่า จริงมั้ย?
ถ้ารวยอยู่แล้วก็ทำแบบข้อ 3 ได้ ไม่ยาก
แต่ถ้าไม่รวย มันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในสังคมเราการมีชีวิตอยู่ต้องการเงิน
ด้วยเวลาที่เท่ากัน เลือก 2-in-1 เถอะ

11 กันยายน 2548

สถาบันครอบครัวกับการศึกษา

ว่าจะเขียนเรื่องนี้หลายครั้งแล้วแต่ก็คิดอยู่นานทีเดียว...

ในที่สุดก็ตัดสินใจเขียนเพราะช่วงนี้ไม่ยอมมีใครเขียนเพิ่มเลย (อ้าว?)

ประเด็นที่ผมอยากจะพูดในวันนี้คือ สถาบันครอบครัวกับการศึกษา

ผมว่าสองอย่างนี้มันแยกกันไม่ออกเลยนะ ลองคิดดูสิครับว่า เราอยู่ในระบบการศึกษา หรืออยู่กับครอบครัวเป็นเวลามากกว่ากัน? และอะไร ที่น่าจะส่งผลต่อความรู้สึกนึกคิด ความเข้าใจต่อโลก สังคม และสิ่งต่างๆ รอบตัวได้มากกว่ากัน

คงจะเป็นครอบครัวใช่ไหมล่ะครับ?

ประโยคที่ว่า พ่อแม่คือครูคนแรกนั้นคงจะเป็นสัจนิรันดร์ (ค่าความจริงเป็นจริงตลอดทุกกรณี) อย่างไม่ต้องสงสัย เท่าที่ผมจำความได้ ผมก็ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวจากพ่อแม่และครอบครัวตลอดเวลา ผมได้รู้จักต้นไม้ชนิดต่างๆ ได้สังเกตธรรมชาติมากมายในบ้านผมจากต้นไม้ที่พ่อผมปลูก ผมได้รู้จักกับคอมพิวเตอร์ (สมัยนั้นแรมยัง 64KB ฮาร์ดดิสก์ 2MB) เป็นครั้งแรกตั้งแต่ก่อนเข้าอนุบาล พ่อผมสอนให้ผมเล่นโปรแกรมนู้นนี่นิดๆ หน่อย ใช้เป็นแค่เปิดเครื่อง เข้าโปรแกรมเกม หรือวาดรูป สามารถใช้คำสั่งดอสบางคำสั่งได้อย่าง dir, cd, md, copy, del (ซึ่งเด็กสมัยนี้อาจจะไม่รู้จักแล้ว เก่าเกิน เริ่มรู้สึกว่าตัวเองแก่) ผมรู้สึกได้ว่า ความรู้สึกที่อยากรู้อยากเห็น ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ทั้งหมดเหล่านั้นผมได้ถูกบ่มเพาะมาแต่เด็กๆ โดยไม่รู้ตัว หรือแม้แต่นิสัยรักการอ่าน ผมจำได้ว่าบ้านผมจะมีหนังสือเยอะมาก ถึงขนาดมีห้องสมุดตั้งแต่ตอนนั้น พ่อแม่ผมจะซื้อหนังสือนิทานมาให้อ่านตั้งแต่เด็กๆ มีเยอะมาก แล้วผมก็ชอบอ่านมาก พอโตหน่อยก็มีหนังสือประเภทการ์ตูนความรู้ ตอนนั้นจำได้ว่าทำให้ผมรู้จักการ "ยืม" ตัวเลขหลักข้างหน้ามาใช้ในการลบก่อนหน้าที่จะมีเรียนในโรงเรียนตอน ป.1 เสียอีก (อันนี้ภูมิใจมาก)

ผมเริ่มเขียนโปรแกรมครั้งแรกตอน ป.4 ตอนนั้นไม่มีอะไรมากหรอกครับ เขียนด้วยภาษา Basic ทำได้แต่ตั้งตัวแปร บวกลบคูณหารกัน แล้วก็พิมพ์ออกมา พ่อผมเป็นคนสอน แล้วผมก็สนุกกับมันเสียด้วย ผมว่ามันสนุกดีนะที่ได้ลองตั้งตัวแปรหลายๆ ตัว ลองจับมันมาบวกลบคูณหารมั่วๆ แล้วดูว่าสุดท้ายจะได้ค่าเท่าไหร่ หลังจากนั้นตอน ป.5 ผมก็ได้เริ่มเขียนโปรแกรมอย่างจริงจังมากขึ้นในภาษา Pascal เริ่มรู้จักการใช้เงื่อนไข การวนซ้ำ แต่ก็ยังทำอะไรไม่ได้มาก จนม.1 ถึงได้เริ่มเขียนโปรแกรมบนวินโดวส์เป็นครั้งแรกด้วย Visual Basic 4.0 ตอนนั้นเป็นครั้งแรกครับที่ผมเรียนรู้การเขียนโปรแกรมโดยไม่ต้องพึ่งคุณพ่อ ผมขโมยหนังสือพี่สาวคนโตของผม (ที่ตอนนั้นเรียนบัญชีจุฬาปี 3) มาลองทำมั่วๆ กับโปรแกรมที่ถูกลงไว้อยู่แล้วด้วยพี่สาวผมในคอมพิวเตอร์ โอ้ว ครั้งแรกที่ผมสามารถเขียนโปรแกรมสำหรับการเก็บ Address Book ได้เป็นครั้งแรกนี่มันน่าตื่นเต้นมากครับ ฮา... นั้นนับว่าเป็นโปรแกรมแรกในชีวิตของผมเลยทีเดียว

ด้วยพื้นความรู้ที่ผมได้รับในเริ่มแรกตั้งแต่ประถม ทำให้ในช่วงระยะเวลาที่เหลือต่อมาตั้งแต่ ม.1 ของผม ผมสามารถศึกษาหาความรู้ต่างๆ ทางด้านการเขียนโปรแกรมและทางซอฟท์แวร์ได้โดยแทบไม่ต้องพึ่งคุณพ่อเลย คงเป็นเพราะทักษะในการคิดวิเคราะห์ที่ผมได้จากการทำกิจกรรมต่างๆ กับคุณพ่อตั้งแต่วัยเด็ก รวมถึงความสามารถในการลองผิดลองถูก ทั้งหมดนี้ ก่อให้เกิดเป็นผมในวันนี้

แน่นอนว่าความสำเร็จจากการแข่งขันต่างๆ ของผมทั้งในระดับโรงเรียน ประเทศ หรือแม้แต่นานาชาติของผมคงไม่เกิดขึ้น ถ้าไม่เริ่มจากการที่เมื่อครั้งนั้นพ่อผมบังเอิญสอนผมให้เปิดคอมพิวเตอร์เป็นครั้งแรก บังเอิญสอนให้ผมรู้จักกับการเขียนโปรแกรมตอนป.4 หรือผมไม่บังเอิญไปขโมยหนังสือพี่สาวผมมาด้วยความรู้สึกอยากรู้อยากเห็น

ผมเชื่อครับว่า มีอีกหลายคนที่ได้รับประสบการณ์คล้ายๆ กับผม ได้รับประสบการณ์และความรู้ต่างๆ ที่มีค่ายิ่งกว่าการเรียนที่โรงเรียนมากมายจากครูคนแรกของพวกเขา และได้รับการสนับสนุนในหนทางที่ตนเองชอบและถนัดอย่างเหมาะสมและเต็มที่

แต่ยังน่าเสียดายครับ ที่ยังมีพ่อแม่อีกมาก ที่ผลักภาระทางการศึกษาให้กับระบบการศึกษาที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนักในปัจจุบันนี้
คุณพ่อคุณแม่ครับ... เริ่มวันนี้ก็ยังไม่สายนะครับ