.comment-link {margin-left:.6em;}

 

28 สิงหาคม 2548

เรื่องบางเรื่องที่ไม่ควรพูด

แต่ก็จะพูด...
มีคนบอกว่าให้อ่านข่าว เราเข้าไปอ่าน เป็นเรื่องที่เกิดอีกแล้วเรื่องนึง คนก่อเรื่องก็เจ้าเดิม
คือมันมีคนๆ นึงชื่อนายห้าเบี้ยละกัน (เราตั้งให้ใหม่ ชื่อนี้เป็นมงคลกับคนๆ นั้น)
ผมไม่เข้าใจว่านายคนนี้ และพี่น้องของนายห้าเบี้ยนี่เค้ามีปัญหาอะไร
ให้ใครขัดใจไม่ได้เลยหรือ นิดนึงต้องต่อย ต้องยิง
ที่ไม่เข้าใจยิ่งกว่าก็คือคดีที่พวกมันกระทำมา ไม่เคยถูกลงโทษเลย
อยากรู้ว่ากฎหมายมีสนับสนุนคนทำชั่วเหรอ
มันดูเป็นการแสดงถึงความเสื่อมทรามของสังคมมั้ย คนทำผิด แต่กูใหญ่ กูลอยนวลได้
แน่นอนว่าถ้าพูดว่านายห้าเบี้ยและคณะควรได้รับการลงโทษใช่มั้ย
มันแน่นอน!
แต่ที่ข้องใจมากกว่าก็คือระบบยุติธรรมของสังคม ว่าทำไมมันดูเหมือนจะล้มเหลวได้ขนาดนี้
ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ระบบกฎหมายจะคงอยู่ได้ยังไง
ถ้ามันยกเว้นการลงโทษไปครั้งแรก ก็จะมีครั้งที่สอง
ถ้ายกเว้นการลงโทษคนแรก ก็ต้องมีคนที่สอง
มันไม่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่น่าเกรงกลัว อยากทำอะไรก็ทำได้ แล้วใช้ความใหญ่ของตัวเองเข้าไปจัดการ
ลองคิดถึงสภาพบ้านเมืองที่ไม่มีกฎหมาย บ้านเมืองที่กฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์มันก็ไม่ต่างอะไรกันหรอก

เอ๊ะ รึว่าเป็นนโยบายรักธรรมชาติ
ให้สัตว์ที่เก่งกว่า แข็งแกร่งกว่าอยู่รอด ด้วยการฆ่าคนที่อ่อนแอกว่า แล้วไม่มีความผิด
อ๋อ สงสัยเค้าใช้นโยบายคืนสู่ธรรมชาตินี่เอง

ผมก็ไม่รู้จะแก้ยังไง ก็ทำได้เพียงแค่เป็นปากเสียงนึงที่จะบ่น เพิ่มเข้าไปกับหลายเสียงที่บ่นกันระงมแล้ว
หวังว่าจะมีสักเสียง ที่จะถึงผู้รับผิดชอบ
จะเป็น hero รักษาความสงบสุขของบ้านเมือง
รอดูวันนั้นอยู่ครับ วันที่ความเสมอภาคมีจริง

21 สิงหาคม 2548

ผมมันไม่ดี ผมมันเลว ผมมันแตกปลาย

หลายๆ ท่านอาจจะได้ทราบแล้วเกี่ยวกับข่าวคราวการพักการเรียนของผมเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 1 เทอม หรือที่ตั้งใจไว้ 1 ปี

แน่นอนว่ามีหลายคำถามที่เกิดขึ้นในใจทุกๆ คนเมื่อได้ยินข่าวคราวนี้ หลายๆ คนคงสงสัยว่า ผมวางแผนอย่างไรในอนาคต ทำไมถึงคิดจะเลิกเรียน? การเรียนในสาขาวิชาที่ตนเองถนัดหรือชอบยังไม่ดีพอหรอ? หรือนี่ไม่ใช่สาขาที่ใช่? หรือแม้แต่การตัดสินไปโดยปริยายว่า ผมเป็นเด็กเลว ไม่เรียนหนังสือ ไม่กตัญญู ฯลฯ

ย้อนหลังไปเมื่อราวๆ 1 ปีที่แล้ว ก้าวแรกที่ผมได้เข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย แน่นอน ผมตื่นเต้น นี่คือการศึกษาที่ผมใฝ่ฝันมาเป็นระยะเวลากว่า 6 ปีนับตั้งแต่การเข้าเรียนในระดับมัธยมศึกษา ผมเฝ้าใฝ่ฝันรอที่ผมจะได้เรียนในสาขาที่ผมถนัด ผมชอบ โดยไม่จำเป็นต้องมาเรียนกับสาขาวิชาอื่นๆ ที่ผมไม่คิดว่ามันเกิดประโยชน์อะไร อีกทั้งด้วยระบบการศึกษาที่ไม่มุ่งเน้นให้เด็กพัฒนาศักยภาพการคิดและองค์ความรู้ที่ห่างไกลการนำไปประยุกต์ใช้ ทั้งหมดนี้เป็นแง่ลบของการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ผมรอคอยวันจะได้พ้นไปจากมัน

แน่นอนว่า ในช่วง 1 ปีแรกของการศึกษาในคณะวิศวกรรมศาสตร์ ผมจำเป็นต้องเรียนวิชาพื้นฐานอื่นๆ อีกมากมายแม้ว่าผมจะไม่ชอบมัน ทั้งคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี แต่ผมก็พยายามที่จะทำใจรับมันไปในช่วงเทอมแรก ผลคือ ผมสามารถได้แคลคูลัส A ได้โดยการเข้าสอบเพียง 3 ครั้งจาก 4 ครั้ง (จริงๆ แล้วจะเรียกว่าโง่หรือฉลาดที่ไม่สอบครั้งนึง...) และได้ฟิสิกส์ C+ อย่างเฉียดฉิวไป แต่สิ่งที่ผมต้องทำเพื่อแลกมากับคะแนนเหล่านั้น คือการท่องจำสูตร วิธีทำต่างๆ ถึงแม้ว่าจะใช้เวลาเพียงสองถึงสามวันก่อนสอบในวิชาฟิสิกส์ หรือประมาณ 1 เดือนก่อนสอบสำหรับวิชาคณิตศาสตร์ ผมพบว่า เวลาเหล่านั้น ผมสามารถนำไปสร้างมูลค่าให้กับตัวเองและสังคมได้อีกมากมาย

จนเทอมที่สอง ผมต้องพบกับวิชาตำนานอีกหนึ่งวิชาในมหาวิทยาลัย นั่นก็คือเคมี ความเครียดทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ผมพยายามกัดฟันเพื่อทวนข้อสอบต่างๆ ด้วยวิธีการเดิมๆ แต่ด้วยความอคติที่มีอยู่เดิม ผมไม่สามารถให้เวลากับมันไปได้มากกว่าเดิม ผลคือ แม้ว่าผมจะสามารถทำคะแนนได้เต็ม 50% แรกของวิชาคณิตศาสตร์ในช่วงมิดเทอมแรก และสอบเขียนแบบได้อันดับที่ 2 ของหมู่เรียน แต่คะแนนวิชาฟิสิกส์และเคมีของผม กลับตกต่ำเกินกว่าจะเยียวยาไหว ความเครียดและกดดันจากระบบการศึกษาที่ไร้คุณภาพในสาขาวิชาเหล่านี้ ได้ระเบิดออกในช่วงหลังมิดเทอม ผลคือ ผมไม่เข้าสอบในวิชาใดๆ เหล่านี้เลยในช่วงไฟนอล ผมสามารถผ่านวิชาคณิตศาสตร์ด้วยเกรด D+ และวิชาวาดเขียนด้วยเกรด C สำหรับสองวิชาฟิสิกส์และเคมี ผมได้ F ตามความคาดหมาย...

สิ่งที่ผมคิด ณ ขณะนั้น คือผมไม่สามารถทำใจยอมรับกับระบบการเรียนรู้ของวิชาเหล่านี้ได้ การตัดสินใจของผม คือการผลัดการเรียนวิชาเหล่านี้ออกไปก่อน อาจจะเพื่อเก็บไว้เก็บในช่วงปี 4 หรือปี 5 หากต้องการจะจบจริงๆ หรืออาจจะเอาเกรดอื่นๆ ที่ผ่านมาโอนย้ายไปเรียนมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ และเหตุผลที่ผมไม่ตัดสินใจดร็อปวิชาฟิสิกส์และเคมี เพราะผมต้องการจะเก็บวิชาแล็ปเอาไว้ จะได้ไม่ต้องเรียนอีกในอนาคตถ้าอยากจะจบ แน่นอน การตัดสินใจนี้ แลกด้วยเกียรตินิยมที่พ่อแม่ผมอาจจะคาดหวังไว้ จากเกรดเฉลี่ยที่สูงถึง 3.62 ในเทอมแรก

ก่อนเปิดเทอมในปีที่สอง ผมเองยังมีความคาดหวังเล็กๆ ว่า ผมจะได้พบกับอะไรๆ ที่ดีขึ้นเมื่อผมได้เข้าภาควิชาคอมพิวเตอร์อย่างเต็มตัว ได้เรียนวิชาหลายๆ วิชาที่ผมสนใจ และถนัด แต่เปล่าเลย... จากการเข้าเรียนได้ประมาณ 1 เดือน ผมยังคงพบกับระบบการเรียนรู้ที่ขาดคุณภาพ และที่สำคัญที่สุด อาจารย์ที่ขาดพลังและวิญญาณความเป็นครู (แต่ที่ดีมากๆ ก็ยังมีบ้าง)

ผมตัดสินใจอย่างไม่ต้องคิดอะไรมาก...
ผมจะเลิกเรียน

บางคนอาจจะรู้สึกว่า ผมเองปรับตัวไม่เป็นหรือเปล่า? หรือว่าผมเองขี้เกียจแล้วหาข้ออ้างกันแน่...

มันอาจจะถูกก็ได้นะครับ แต่ผมกล้ายืนยันว่า ระบบการศึกษาแม้แต่ในระดับมหาวิทยาลัยนี้ มันไม่เหมาะสมกับตัวผมอย่างแน่นอน ผมว่ามีคนอีกมากมายที่รู้สึกผิดหวังกับระบบการศึกษานี้ ผมได้คุยกับเพื่อนหลายๆ คน แม้แต่คนที่อยู่ในสถาบันที่ได้ชื่อว่าเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ ก็ยังพบว่าไม่สามารถจัดการศึกษาที่ดีพอได้ ทำให้ผมอดขำในใจไม่ได้ว่า นี่หรือคือระบบที่คนมากมายแย่งชิงกันจะเป็นจะตายเพื่อเข้ามา ทั้งเรียนพิเศษ กวดวิชา เวลาร่วมกว่าร้อยกว่าพันชั่วโมงที่เสียไป เพียงเพื่อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในระบบที่แตกสลายนี้...

ผมคิดว่า ทุกวันนี้ แรงผลักดันที่ยังทำให้เพื่อนผมหลายๆ คนยังอยากมามหาวิทยาลัย เพียงเพราะว่ายังอยากเจอกับเพื่อนๆ และอยากทำกิจกรรมต่างๆ ที่มีให้เลือกมากมาย ทั้งมีสาระ ไม่มีสาระ เกิดประโยชน์ ไม่เกิดประโยชน์ ที่มีให้เลือกสรรมากมายในรั้วมหาวิทยาลัย

และที่สำคัญที่สุด...
เขาต้องการใบปริญญา

ผมไม่แน่ใจนักว่า ปริญญาตรี เข้ามาเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐานในค่านิยมของคนไทยมานานเท่าไหร่แล้ว แต่ผมคิดว่า ตราบเท่าที่การศึกษาขั้นพื้นฐานไม่สามารถสร้างคนให้เป็นคนได้ คงไม่น่าแปลกใจนัก ที่หลายๆ คนจะยังต้องการการศึกษาในขั้นที่สุงกว่านั้น เพื่อประดับบารมีตนเอง เพื่อให้ตนเองสามารถเชิดหน้าชูตาได้ในสังคม และสามารถที่จะหาเลี้ยงชีพได้อย่างยากลำบากนัก และพ่อแม่ส่วนมากในสังคม ยังมีค่านิยมที่จะให้ลูกเรียนได้คะแนนดีๆ เรียนจบสูงๆ โดยพยายามหาการสนับสนุน บีบบังคับ หรือวิถีทางต่างๆ อีกมากมายเพื่อให้ลูกได้คะแนนดีๆ เข้าเรียนในสถาบันที่มีชื่อเสียง โดยลืมคิดถึงบทบาทตนเองในฐานะครูคนสำคัญในบ้าน และผลักภาระหน้าที่ในการเรียนรู้ให้กับโรงเรียน ครูอาจารย์ และสถาบันกวดวิชา

ผมเอง อาจจะถือว่าโชคดี ที่เกิดในครอบครัวที่มีคุณพ่อเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่สามารถเข้าใจถึงระบบการศึกษาที่เป็นจริงในสถาบันนี้ และเข้าใจในศักยภาพและความสามารถในด้านอื่นๆ ของผมนอกจากที่สังคมยอมรับ และสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวที่มีวิสัยทัศน์และใจกว้าง

แต่แน่นอน ถ้าผมไปโชคร้ายไปเกิดในอีกหลายๆ ครอบครัว คงเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ที่ผมจะสามารถเลือกทางเดินของผมเองได้อย่างอิสระ ไม่ได้รับโอกาสในการพัฒนาความสามารถเฉพาะทางที่ผมสนใจ และที่สำคัญที่สุด ไม่สามารถเข้าใจถึงความต้องการที่แท้จริงและความสุขของผม

ผมอดนึกไม่ได้เลยว่า... จะมีอีกกี่คนที่โชคดีแบบผม และจะมีอีกเท่าไหร่ที่โชคร้าย...

19 สิงหาคม 2548

ก่อนบิน

วันที่ 19 สิงหาคม 2548

ขณะที่กำลังเขียนนี้ อีก 7 ชม.จะเดินทางไปดอนเมือง (สุวรรณภูมิจะเสร็จไหมเนี่ย)
อีก 11 ชม.เครื่องบินจะออก
อีกประมาณ 12 ชม.ก็คงพ้นน่านฟ้าประเทศไทย แผ่นดินบ้านเกิด
แล้วอีกประมาณ 18 ชม.ก็จะถึง San Francisco International Airport
อีก 20 ชม.ก็คงถึงหอพัก
จบชีวิตในไทยในปีนี้ แล้วเริ่มต้นชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย (จริงๆ มันไม่ค่อยจะมีรั้วหรอก)
เริ่มช้ากว่า KUS 30 อีก เหอๆ

กลับมาหวนคิดถึงอดีต
ตอนไปแรกๆ มีความสุขดี มีเพื่อนมากมาย ก็ไม่ได้คิดถึงบ้าน
ตอนอยู่ที่รร.บางอารมณ์ก็เหงาๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าขาดอะไร
แต่พอกลับมาไทย ก็ไปทำงานที่รรบ่อยมาก จนอาจารย์ถามกันว่า "นึกว่าไปเรียนที่อเมริกา"
ผ่านมาเดือนนึงก็รู้ว่าบ้านสำคัญ
ครอบครัวสำคัญ...แค่ไหน

อะไรยิ่งใกล้ ยิ่งมองข้าม
สงสัยว่าใกล้เกินไปแล้ว focus ไม่ได้
แต่พอหายไปก็รู้สึกว่ามันหายไป
คนเราต้องการสังคมจริงๆ ต้องการเพื่อน ต้องการคนสนิทใจที่จะคุยกัน

พูดเรื่องเรียนมั่งดีกว่า จะถูกมองเป็นเรื่องน่าเบื่อมั้ยเนี่ย
ตอนนี้ลงคอร์สไป 20.0 unit
เลข ฟิสิกส์ Astro IntegrativeBiology Fortran
และที่น่าตกใจ MedivalArchitecture - เรียนเพื่อผ่าน requirement arts โดยเฉพาะ
บางทีก็รู้สึกไม่ดีที่เรียนอะไรเพื่อแค่ผ่านเกณฑ์อะไรบางอย่าง
แต่เราก็เลือกตัวที่เราสนใจที่สุด

ฮืมมมม ไปแล้วดีกว่า โชคดีครับทุกคน

ฉลาดคืออะไร?

เห็นเกรดแล้วเบื่อ ไม่อยากดูว่าคนฉลาดมั้ยจากเกรดที่ได้

ฉลาดคืออะไร?
เคยอ่านเจอว่า "ฉลาด" คือความสามารถในการจำแนก
เช่นคนฉลาดเรื่องต้นไม้ ก็บอกได้ว่าต้นไม้แต่ละชนิดต่างกันอย่างไร เห็นแล้วบอกได้ว่าต้นไหนชื่ออะไร
เช่นคนฉลาดเรื่องภาษา ก็บอกได้ว่าคำนี้ใช้ต่างกับคำนั้นอย่างไร คำที่ความหมายใกล้เคียง มีความหมายลึกๆ ต่างกันอย่างไร
เห็นด้วยระดับหนึ่ง คือดูเป็นนิยามที่ใช้ได้ แต่ไม่ครอบคลุม

ฉลาดคืออะไร?
ตอนเข้าค่ายโอฯ เราคิดว่าคนฉลาดต้องคิดเก่ง
ไม่สนเรื่องความรู้
คือคิดว่าความรู้หาในหนังสือเอาได้ จดไว้ได้ จำให้เปลืองสมองทำไม
มีข้อมูล มีสมองที่คิดเก่ง ต่อยอดความรู้ไปเองได้
เช่นสูตรฟิสิกส์ไม่ต้องจำ พิสูจน์เอาเองใหม่ทุกครั้งได้
ค่าคงที่ต่างๆ ก็มีในหนังสือ ไม่น่าจะต้องจำให้รกสมอง
ตอนนั้นเห็นด้วยมากๆ ตอนนี้เริ่มไม่แน่ใจนัก

ฉลาดคืออะไร?
ช่วงทำค่ายสาธิตคิดสร้างสรรค์ ชื่อค่ายก็บอกแล้วว่า "คิดสร้างสรรค์"
ทำให้คิดว่า คนที่เก่งคือคนที่สร้างสรรค์เก่งมีความคิดริเริ่มใหม่ๆ
คิดว่าคนที่เข้าใจกรอบ และแหวกกรอบได้คือคนฉลาด
เห็นด้วยครึ่งนึง แต่คิดว่าไม่ใช่ทั้งหมด

ตอนนี้มาคิดว่าทำไมคนเราอยากฉลาด
เท่?
ยีน?
คนนับถือ?
เป็นประโยชน์?
โกยประโยชน์?
หรือแค่อยาก?

ตอนนี้รู้แล้วว่าความฉลาดมีหลายอย่าง
แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือรู้ว่าตัวเองฉลาดอะไร แล้วใช้ให้เกิดประโยชน์
กับตนเอง และผู้อื่น

14 สิงหาคม 2548

Multiple Intelligences

ทฤษฏีพหุปัญญา (Theory of Multiple Intelligences) เป็นทฤษฏีที่คิดค้นโดยนักจิตวิทยาชาวอเมริกันนามว่าโฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ โดยทฤษฏีนี้มีแนวคิดหลักที่ว่า เด็กทุกคนเกิดมาพร้อมกับความฉลาด หรือความ "เก่ง" มาทุกๆ คน เพียงแต่ละคน จะมีความฉลาดในด้านต่างๆ ไม่เท่ากัน บางคนอาจไม่เด่นเลยสักด้าน หรือบางคนอาจจะมีมากในทุกๆ ด้าน แต่ส่วนมากจะมีที่เด่นเพียง 1 หรือ 2 ด้านเท่านั้น สำหรับความฉลาดทั้ง 8 ตามทฤษฏี MI ได้แก่
  1. ด้านภาษา (Linguistic Intelligence) คือความสามารถในการใช้ภาษา การสื่อสาร การฟัง พูด อ่าน เขียน เด็กที่มีความสามารถในด้านนี้ จะมีความสามารถในการสื่อสารกับคนอื่นให้เข้าใจได้ง่ายและรวดเร็ว ชอบที่จะอ่านหนังสือหรือข้อความต่างๆ สามารถนำเสนอความคิดของตนเองผ่านภาษาที่มีความสวยงาม น่าติดตาม และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นอกจากนี้แล้ว เด็กที่มีทักษะทางด้านนี้เป็นพิเศษยังชอบที่จะสร้างศัพท์ใหม่ๆ ขึ้นมาใช้เองอีกด้วย
  2. ด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ (Logical & Mathematical Intelligence) คือความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การให้เหตุผลกับสิ่งต่างๆ รอบตัว การคาดการณ์ การประมาณ รวมถึงทักษะการคำนวณทางคณิตศาสตร์พื้นฐานทั่วไป แน่นอนว่าคงไม่แปลกที่เด็กที่มีความถนัดในด้านนี้จะมีความสนใจและถนัดในวิชาคณิตศาสตร์ เด็กที่มีความถนัดในด้านนี้จะเข้าใจเหตุและผลของเหตุการณ์ต่างๆ รอบๆ ตัว สามารถวิเคราะห์ถึงปัญหาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ชอบที่จะวิจารณ์และแสดงความคิดเห็นของตนในเรื่องต่างๆ อยู่ตลอดเวลา สามารถคาดการณ์เหตุการณ์ต่างๆ ในอนาคตจากข้อมูลต่างๆ ได้ ชอบตั้งคำถาม และมีความสุขกับการหาคำตอบของคำถามด้วยวิธีการต่างๆ รวมไปถึงมีความเชื่อมั่นในความคิดของตนเอง
  3. ด้านมิติ (Spatial Intelligence) เป็นความสามารถทางด้านมิติ ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับเรื่องการมองเห็น การกะระยะ การจินตนาการมิติ มิติสัมพันธ์ เด็กที่มีความสามารถทางด้านนี้ จะสามารถเข้าใจถึงโครงสร้างและมิติของสิ่งของต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ชอบที่จะรื้อสิ่งของต่างๆ เพื่อดูโครงสร้างภายใน ชอบสร้างสิ่งของต่างๆ จากวัสดุต่างๆ รอบตัว ชอบคิดค้นสิ่งใหม่ๆ จากสิ่งที่มีอยู่เดิม การต่อยอด มีความสามารถในการจดจำรายละเอียดต่างๆ ได้ ช่างสังเกต สามารถสังเกตถึงความแตกต่างได้รวดเร็ว
  4. ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว (Bodily-Kinesthetic Intelligence) คือมีความสามารถในการใช้ร่างกายส่วนต่างๆ อย่างเหมาะสมและสัมพันธ์กัน มีความแข็งแรงทางร่างกายสูง มีความคล่องแคล่ว ว่องไว ประสาทสัมผัสต่างๆ ดีเยี่ยม ชอบเล่นกีฬาและออกกำลังกายอยู่เสมอ มีสมาธิมาก มีความอดทน และมีความสามารถในการจดจำและเรียนรู้ด้วยการหยิบจับ สัมผัส และทดลองทำจริงได้ดีกว่าวิธีอื่นๆ
  5. ด้านดนตรี (Musical Intelligence) คือความสามารถในด้านดนตรี การเข้าจังหวะ เด็กที่มีความสามารถทางด้านนี้ จะชอบฟังและชอบเล่นเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ มีความสามารถในการเลียนเสียงธรรมชาติและเสียงดนตรีต่างๆ มีประสาทสัมผัสทางการได้ยินดีเป็นพิเศษ สามารถแยกแยะท่วงทำนองของดนตรีที่มีความคล้ายคลึงกันได้ สามารถขยับร่างกายให้สัมพันธ์กับจังหวะได้อย่างแม่นยำ
  6. ด้านมนุษย์สัมพันธ์ (Interpersonal Intelligence) คือความสามารถในการเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่น สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้อย่างเหมาะสม เด็กที่มีความสามารถในด้านนี้ จะมีมารยาทและกาละเทศะ สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมทางสังคมได้อย่างเหมาะสม สามารถเข้าใจถึงอารมณ์ความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่นได้ เข้าใจปัญหาทางสังคมต่างๆ
  7. ด้านการเข้าใจตนเอง (Intrapersonal Intelligence) คือความสามารถในการเข้าใจอารมณ์ ความรู้สึก ความสามารถ และสถานภาพต่างๆ ของตนเองได้ ผู้ที่มีความสามารถในด้านนี้สูงจะสามารถเข้าใจถึงอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง สามารถความคุมอารมณ์และวางตัวในสังคมได้ถูกต้อง มีความสามารถในการประเมินความสามารถของตนเอง สามารถจัดการและรับผิดชอบหน้าที่การงานต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม สามารถบริหารเวลาในการทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้อย่างลงตัว มีความเชื่อมั่นในตนเอง และมีความกล้าหาญที่จะเผชิญกับปัญหา
  8. ด้านธรรมชาติวิทยา (Naturalist Intelligence) คือความเข้าใจในธรรมชาติและสิ่งต่างๆ รอบตัว เด็กที่มีความถนัดในด้านนี้จะสนใจในวิชาวิทยาศาสตร์เป็นพิเศษ ชอบที่จะค้นหาคำตอบเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งรอบๆ ตัวอยู่เสมอ ชอบหาคำตอบของปัญหาต่างๆ รอบๆ ตัว ชอบทดลองและลงมีปฏิบัติด้วยตนเอง และมีความสนใจเกี่ยวกับพืชสัตว์ และปรากฏการณ์ทางธรรมชาติรอบๆ ตัวเป็นพิเศษ
สำหรับความเก่งในแต่ละด้าน สามารถแสดงออกได้อย่างหลากหลาย ไม่จำเป็นว่าคนที่มีความสามารถในการอ่านเป็นพิเศษ จะต้องมีความสามารถในการเขียนมากตามไปด้วย ความฉลาดทั้ง 8 ประการเป็นเพียงภาพกว้างๆ ของการแบ่งแยกทักษะความสามารถต่างๆ ออกเป็นหมวดหมู่ (เช่นเดียวกับทฤษฏีทักษะ 6 ของ Cubic Creative ที่ประกอบด้วยเหตุผล ความคิดสร้างสรรค์ ประสาทสัมผัส การแสดงออก การตัดสินใจ และร่างกาย)

แน่นอนว่า ถ้าเด็กทุกคนนั้นเกิดมาพร้อมกับความสามารถและความถนัดที่หลากหลายขนาดนี้ ถึงเวลาที่เราควรจะทบทวนดูหรือยัง ว่าการศึกษาแบบสูตรสำเร็จในปัจจุบัน เหมาะสมแล้ว โดยเฉพาะในวัยเด็ก ที่มีศักยภาพในการเรียนรู้สูงที่สุด? การสร้างทางเลือกในการเรียนรู้ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย สายไปหรือยัง? เป็นหน้าที่ของใคร จะที่จะวิเคราะห์ว่าเด็กคนไหนควรได้รับการพัฒนาอย่างไร?

คงปฏิเสธไม่ได้ครับว่า คนที่มีบทบาทมากที่สุด คือพ่อแม่นั่นเอง

10 สิงหาคม 2548

Cubic Spirit rocks!

ผ่านไปแล้วนะครับสำหรับกิจกรรม Cubic Spirit Camp 2005 ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 5 - 7 สิงหาคมที่ผ่านมา

สำหรับโครงการนี้ จัดขึ้นเพื่อสามจุดประสงค์หลักครับ

สำหรับจุดประสงค์แรก ก็เพื่อสร้างความสนิทสนมกันในหมู่สมาชิกทีมงาน ที่นับวันจะยิ่งมีจำนวนมากขึ้น มากขึ้น จากการทำงานร่วมกันดุจครอบครัวเดียวกัน ก็เริ่มมีระบบ ระเบียบมากขึ้นตามจำนวนคน และด้วยระบบระเบียบใหม่ๆ ที่จำเป็นต้องมีเพื่อควบคุมดูแลสมาชิกที่เพิ่มมาขึ้น กลับมีผลกระทบต่อความสนิทสนมและความสัมพันธ์ในหมู่ทีมงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งที่เราต้องพยายามสร้างใหม่ นั่นคือเครือข่ายของความสัมพันธ์กันระหว่างหมู่ทีมงาน เพราะการทำงานร่วมกับคนที่รู้จักและคุยกันได้สบายๆ ย่อมง่ายกว่าอยู่แล้ว จริงไหมครับ?

สำหรับประเด็นที่สอง คงเป็นเรื่องของการทำงานร่วมกับผู้อื่น (collaboration) ซึ่งแน่นอนว่ากับจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นนั้น การทำงานย่อมต้องยากกว่าจำนวนคนน้อยๆ กิจกรรมภายในค่ายจึงมุ่งเน้นให้ทีมงานได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาต่างๆ ร่วมกัน โดยต้องเริ่มตั้งแต่การวิเคราะห์ปัญหา การหาวิธีการแก้ไขอย่างหลากหลาย การเบรนสตอร์ม (brainstorm) และการแบ่งงานกันทำอย่างเป็นระบบ แน่นอนว่า กิจกรรมแต่ละอย่างค่อนข้างจะถูกออกแบบอย่างแยบยล เพื่อสร้างเงื่อนไขของปัญหาในการทำงานร่วมกันเอาไว้ไม่น้อยเลยทีเดียว

และสำหรับจุดประสงค์สุดท้าย คงเป็นเรื่องของการปลูกฝังอุดมการณ์ วัฒนธรรม และแนวคิดของชมรมให้กับทีมงาน ว่าอุดมการณ์ของชมรมคืออะไร เราทำงานกันอย่างไร มีแนวคิดในการจัดกิจกรรมหรือสร้างสรรค์โครงการต่างๆ อย่างไร และกิจกรรมต่างๆ ที่จัดให้กับทีมงานนั้น เป็นการสร้างทัศนะให้กับทีมงานในฐานะผู้เข้าร่วมกิจกรรม ที่อาจจะทำให้เข้าใจเนื้องาน และสามารถไปจัดกิจกรรมได้ดียิ่งขึ้น

ในสามประเด็นนี้ ถ้าถามผม ผมคิดว่าสองประเด็นแรกนั้น ประสบความสำเร็จได้ดีตามที่คาดหวังไว้ จากผลงานต่างๆ ที่ทีมงานได้ทำในกิจกรรมภายในค่ายก็เป็นภาพสะท้อนถึงศักยภาพของทีมงานได้ดี และอีกทั้งเครือข่ายของทีมงานที่ดูสนิทสนมดั่งเป็นพี่น้องหลังจากค่ายภาพก็ค่อนข้างชัดเจน

แต่ปัญหาที่ยังคงเหลืออยู่ คือทีมงานส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจภาพของอุดมการณ์ของชมรมได้ชัดเจนนัก ทั้งนี้อาจเป็นเพราะไม่มีกิจกรรมใดในค่ายที่พยายามสื่อถึงจุดนี้อย่างตรงไปตรงมา และแม้แต่การบรรยายอย่างตรงไปตรงมาก็ไม่มีเช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นประเด็นที่เราลืมนึกไปอย่างน่าเสียดาย

ผมหวังว่า โครงการ Cubic Spirit Camp 2006 จะสามารถจุด Cubic Spirit ให้กับชาวคิวบิกทุกคนได้อย่างทั่วถึงนะครับ