.comment-link {margin-left:.6em;}

 

17 กรกฎาคม 2548

ปลายทางของวิทยาการ

ความอยากรู้อยากเห็นเป็นสมบัติที่มีติดตัวเราทุกคนมาตั้งแต่เกิด
"ทำไมๆๆ "... น้องสาวของผมเมื่อ 4-5 ปีก่อนเฝ้าถามเสมอถึงเรื่องราวรอบตัว
"อะไรนะเธอ!~"... กลุ่มขาเมาท์หลายๆกลุ่มในขณะนี้ก็คงกำลังซุบซิบนินทากันอย่างมันปาก
และหากเรามีแว่นตาวิเศษมองมาจากนอกโลกก็คงจะเห็นเครื่องหมายคำถามเต็มไปหมด โดยเฉพาะนักวิทยาศาสตร์ เขาเหล่านั้นอาจจะกำลังเฝ้าหาคำตอบของปริศนาในจักรวาลว่า "อะไรวะเนี่ย..."

เราเดินทางมาไกลจากการหาคำตอบจากธรรมชาติ เราเฝ้าสังเกต ตั้งสมมติฐาน เมื่อเห็นอะไรที่มีหลักเกณฑ์ที่แน่นอนเราก็สรุปเป็นกฎ เรามีทฤษฎีอธิบาย เราสร้างเทคโนโลยีจากความรู้ที่ได้สะสมมาเพื่อให้เราสร้างความรู้ใหม่ได้ง่ายขึ้นอีก เพื่อตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของเราเองต่อไป แล้วเราเดินทางมาถึงปัจจุบัน ปัจจุบันที่ไม่มีใครในอดีตจะวาดฝันภาพว่าสิ่งนี้เป็นไปได้

จากการเฝ้าหาคำตอบอย่างไม่เคยเหน็ดเหนื่อยมานับร้อยศตวรรษของมนุษยชาติ เมื่อเราได้คำตอบจากคำถาม เราได้ประโยชน์จากคำตอบนั้น และเรามุ่งไปสู่คำถามต่อไป จากวัฏจักรนี้ ผมมีคำถามไร้สาระ 1 คำถาม "อะไรเล่า? คือจุดหมายปลายทางของวิทยาการทั้งหลายเหล่านี้" เมื่อเรารู้ทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วอย่างไรเล่า มนุษย์จะมีความสุขมากขึ้นหรืออย่างไร คำตอบก็คือไม่ เพราะความรู้สึกของมนุษย์นั้นเกิดจากการเปรียบเทียบกับสภาพแวดล้อมรอบตัว (เช่ย สมัยก่อนมือถือเป็นสิ่งสิ้นเปลือง แต่สมัยนี้ถ้าใครขาดมือถือไป ก็เป็นเดือดเป็นร้อนทันที)

วิทยาการทุกอย่างที่ผ่านมา นั้นก็เพียงเพื่อสนองกิเลสมนุษย์ไปวันๆ ?

ปั้นน้ำเป็นตัว

คงเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า โครงการค่ายสาธิต คิดสร้างสรรค์ ครั้งที่ 2 ได้รับรางวัลชนะเลิศโครงการกรุงไทยยุววานิช ปี 2547 ในสาขาธุรกิจบริการ เอาชนะโครงการอื่นๆ อีก 2 โครงการในหัวข้อนี้ไปได้

จากที่ผมได้ลองดูรายละเอียดแนวคิดของโครงการอีก 2 โครงการที่เหลือแล้ว ผมพบว่า ก็เป็นโครงการที่น่าสนใจและแนวคิดบางอย่างดูดีกว่าโครงการของเราเสียอีก

แต่ทำไมเราชนะ?

โจทย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการแข่งขันนี้คือ "ทำอย่างไรให้โครงการเราดูดี" หรือเหมือนกับคำพูดของบิล เกตส์ (ยืมจากบล็อกของแก้ว) ว่า "If you can't make it good, just make it looks good."

ผมไม่ได้จะบอกว่าโครงการของเราไม่ดี แต่โครงการเรา ไม่ได้มีอะไรที่ดีกว่าอีกสองโครงการที่เราชนะมาได้เท่าใดนัก แต่ภาพที่เราสามารถสร้างให้กับคณะกรรมการ ผมเชื่อว่ามันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

งานนี้ เราพยายามสร้างจุดเด่นและความแตกต่างจากโครงงานที่เรามี ผ่านการนำเสนอที่ดูสร้างสรรค์ สนุกสนาน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ Cubic Creative และพยายามสร้างประเด็นต่างๆ จากโครงการของเราให้ชัดเจน และดูดีในทุกๆ แง่มุม พยายามหลบซ่อนด้านที่ไม่ดีออกไป นั่นคือสิ่งที่ผมพยายามทำในการทำงานชิ้นนี้ หลายประเด็นที่อาจมีการทำเรื่องบางเรื่องที่เราอาจจะไม่ค่อยจริงจัง แต่ทำให้มันจริงจังขึ้นได้ โดยไม่ใช้วิธีการโกหก มันเหมือนการปั้นน้ำขึ้นมาเป็นตัวนั่นเอง

การปั้นน้ำเป็นตัว ผมมองว่าไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรหากเราทำอย่างมีขอบเขต ผมกลับมองว่า มันทำให้เราเห็นสถานภาพและจุดเด่นของเราและสิ่งทึ่ควรทำในอนาคตด้วยซ้ำไป สิ่งนี้ได้กระตุ้นความคิดของทีมงานหลายๆ คนที่พยายามมองหาจุดเด่นของงานเรา ผลคือ เราได้ไอเดียใหม่ๆ มากมายในการขยับขยายโครงการดีๆ ต่อไปในอนาคต

สรุปแล้ว การที่เราได้รางวัลมา ไม่ใช่เพราะโครงการของเรานั้นดีกว่าเขา

แต่เราปั้นน้ำเป็นตัวเก่งกว่าเขาต่างหาก

16 กรกฎาคม 2548

ชัยชนะของการนำเสนอ ค่ายสาธิตคิดสร้างสรรค์

"แล้วเราจะได้พบกันอีกครั้ง"
"อย่างแน่นอนค่ะ"
"ขอบคุณครัาบ/ค้า..."
สิ้นเสียงคำแนะนำจากกรรมการท่านสุดท้าย ผมเดินออกมาจากจุดนำเสนออย่างมาดมั่น ความรู้สึกบอก อยากจะชูกำปั้นขึ้นไปพร้อมกับร้องตะโกนเสียงดัง มันผ่านไปอย่างสมบูรณ์แบบ... เราชนะแล้ว
นี้...คือความรู้สึกที่ผมไม่มีวันลืมได้เลย



โครงการกรุงไทย ยุววานิช เป็นโครงการประกวดโครงงานธุรกิจระดับมัธยมตอนปลาย ซึ่งชมรมวิชาการนักเรียนสาธิตเกษตรของเรา ส่งโครงการค่ายสาธิต คิดสร้างสรรค์ครั้งที่2 ไปประกวด
...วันนั้น... ผมดีใจมาก ตั้งแต่ได้รู้ว่า ด้วยฝีมือการเขียนรายงานของเหล่ารุ่นพี่ ทำให้ค่ายสาธิต คิดสร้างสรรค์ครั้งที่2 ผ่านเข้ารอบ 10 ทีมสุดท้ายจาก 1305 ทีมทั่วประเทศ และ จะได้รางวัลมาแน่นอนอย่างน้อย 2 แสนบาทเลยทีเดียว
แต่ศึกครั้งต่อไปนี้ ใหญ่หลวงยิ่งนัก!
การนำเสนอโครงการค่าย ต่อหน้ากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จะเป็นตัวตัดสินพวกเรา



เราต้องการผู้เสนอ 3 คน
เนื้อหา และวิธีการนำเสนอ เริ่มต้นร่างขึ้นมา แล้วมองหาบุคคลที่เหมาะสม และบางทีก็เล็งใครที่เข้าท่า แล้วจึงหาวิธีการนำเสนอที่เข้ากับเขาคนนั้น
ด้วยคุณลักษณะที่เหมาะสมของผู้นำเสนอ แม้ผมรู้ตัวเองว่าอยากทำ เสียงในใจก็บอกกลับมาว่า งานใหญ่แบบนี้คงเสี่ยงเกินไปสำหรับผม
การคัดเลือกนั้น เริ่มต้นด้วยตัวเลือกที่มากมาย ค่อยๆคัดหาคนที่ผ่านเกณฑ์ บางคนไม่เหมาะตรงนั้น ไม่เหมาะตรงนี้ บางคนไม่สะดวกใจที่จะทำ... จึงต้องหาคนอื่นมาแทนที่ กลับไปกลับมา
ลงท้ายแล้ว เมื่อวันที่พี่นัทโทรศัพท์มาถามว่า okไหมถ้าจะเป็นคนนำเสนอ
ความเสี่ยงที่ผมกังวลก็กลายเป็นประเด็นรองไปเสีย เรื่องไม่มีเวลาทำการบ้านยิ่งไม่ต้องนึกถึง ผมคิด หากเขาวางใจพอที่จะมาถามผมแบบนี้แล้ว โอกาสที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ ผมไม่มีทางทิ้งมันไป...


"ถ้าบอกมา ผมก็พร้อมจะทำอยู่แล้วครับ"



การซ้อมบทของเรา3คน - รตา พี่โม ผม - เริ่มต้นตั้งแต่...
วันอาทิตย์ที่ 10 ตกเย็นก็ซ้อมต่อที่บ้านพี่ป่าน และผมค้างคืนที่นั้น ปรับบทใหม่เพื่อความกระชับจนถึงตี 2 แล้วไม่ไหวให้พี่ป่านทำต่อ
วันจันทร์ ปรับบทเสร็จสิ้น
วันอังคาร ผมโดดเรียนอาจารย์จิ อัดVDOนำเสนอ และซ้อมบทต่อไป กลับถึงบ้านตอน 4 ทุ่มครึ่ง
วันพุธ ผม แก้ว โอ๊ต และน็อต ทำหัว Kupo! จนถึง 1ทุ่มโดยมีพี่ป่านคอยดูแล แล้วซ้อมบทกับรตาทางโทรศัพท์ประมาณ 1 ชม.ตอนดึก ในวันนี้บทของเราได้ถูกปรับเปลี่ยนไปอีกประมาณ 3 รอบ
วันพฤหัส ผมโดด รด. เดินทางไปตึกธนาคารกรุงไทยที่สุดแห่งความอลังการ และซ้อมบทต่อไป ไสลด์ประกอบที่ทำด้วยFlashโดยพี่นัทนั้นทำเสร็จไปเกินครึ่งแล้ว ผมและรตาตัดสินใจค้างคืนต่อที่แมนชั่นเพื่อจะได้มีเวลาซ้อมบทกับพี่โมตอนกลางคืน วันนี้ผมได้ทานPizza Hut กับอาจารย์สุมาลีด้วย ตกกลางคืนเราพบว่าบทต้องมีการปรับอีกมากเลยทีเดียว ผมกับพี่โมวางแผนว่าเราจะใส่ส่วนที่ต้องเพิ่มเติมตรงไหนอย่างไร และเข้านอนตอนตี 1
วันศุกร์แล้ว... วันนี้เป็นวันจริงที่เราต้องนำเสนอ หากแต่บทนั้นยังไม่เสร็จ เมื่อเดินทางด้วยรถไฟฟ้าไปลงทะเบียน ทานอาหารเช้า แล้วไปช่วยจัดนิทรรศการจนถึง 9 โมงครึ่ง เวลาที่จะต้องนำเสนอคือตอนบ่ายโมงแล้ว เราต่างรู้สึกว่ามันไม่พร้อมเอาซะเลย บทยังไม่สมบูรณ์ ท่องยังไม่คล่อง อย่างไรก็ตามเรา3คนลงมือเขียนบทที่เพิ่มเติมและซ้อมโดยทันที
อาจารย์ดารณีมาฟังการนำเสนอที่ยังกระท่อนกระแท่นตอน 11โมงครึ่ง และให้คำแนะนำเพิ่มเติม เกี่ยวกับเนื้อหา มีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย...
เหลือเวลาอีก ชั่วโมงครึ่ง... เราซ้อมกันต่ออีก ก่อนจะถึงเวลาจริง เพื่อให้มีความมั่นใจมากขึ้น โดยไม่สนว่าจะทำให้เหนื่อยก่อนถึงเวลาจริงหรือไม่ รตากับพี่โมเริ่มตื่นเต้นด้วยความที่รู้ตัวว่าไม่พร้อมอย่างที่มันควรจะเป็น แต่...ผมไม่ได้คิดแบบนั้น


จบการซ้อมรอบที่ 3 ...บ่ายโมงแล้ว
ทุกคนเดินเข้าไปที่ห้องสำหรับนำเสนอ
รตานั้นตื่นเต้นจนร้องไห้เลย พี่โมก็ตื่นเต้นมาก ทุกคนพยายามบอกให้ใจเย็นๆและไม่ตื่นเต้น แต่กลับผมไม่รู้สึกตื่นเต้นเลย ไม่รู้สิครับ ผมรู้สึกว่าเราทำได้ อย่างแน่นอน...


และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ



มันเป็นความสมบูรณ์แบบ เรียกได้ว่าไม่มีข้อบกพร่องใดๆจากการซ้อมครั้งไหนติดมาเลย เมื่อนำเสนอเสร็จ ผมยิ้มแป้นในใจ และเตรียมพร้อมรับการยิงคำถามจากคณะกรรมการ แต่ผิดคาด! สิ่งที่ได้จากกรรมการคือ คำแนะนำต่างๆที่จะต่อยอดขึ้นไป และคำบอกพร้อมจะเป็นผู้สนับสนุน กรรมการใหญ่ตบท้ายด้วยคำว่า "ทีมนี้ สุดยอด"


เมื่อเสร็จสิ้น และเข้าในห้องพัก แทบทุกคนร้องเย้ และกอดกัน ผมรู้สึกดีใจจริงๆ ดีใจจนล้นใจที่ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีอย่างมหัศจรรย์ บรรยากาศที่ทุกคนแสดงความยินดีต่อกันแบบจริงใจ และจริงจังแบบนี้ คงเป็นอะไรที่พบเจอได้ยาก ถ้าขาดความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ...ผมเองก็ซึ้งจริงๆนะครับ


เหนื่อยแล้ว... อาการปวดหัวที่จริงเริ่มขึ้นมาตั้งแต่ระหว่างนำเสนอ ผมรู้สึกหมดแรง คงเป็นเพราะพลังงานทั้งหมดถูกทุ่มลงไปในช่วงเวลา 30 นาทีสำคัญนั้น แต่ก็ยังคงเดินตามกลุ่มไปเลี้ยงฉลองล่วงหน้าการประกาศผล กว่าทุกคนเราจะมาลงเอยกันที่ Pizza Hut ก็ต้องเดินขึ้นลงตึกเพลินจิตพลาซ่าโดยที่ไม่ทำอะไร เดินตากฝนอยู่พักหนึ่ง ผมกินอิ่มแล้วก็ฟุบนอนไปพอตื่นขึ้นมาก็เดินอิ่มกลับโดยไม่ต้องเสียสตางค์


เวลาผ่านไปจนถึงช่วงเวลาประกาศรางวัล แม้จะรู้สึกมั่นใจเต็มเปี่ยมหลังการนำเสนอ แต่ผมเองก็พยายามเผื่อใจเอาไว้อยู่ตลอดเวลาป้องกันอาการผิดหวังที่มันให้แต่ความเสียใจ
พิธีกรจะประกาศรางวัลชมเชย 8 รางวัล และค่อยประกาศรางวัลชนะเลิศ 2 รางวัล
"รางวัลชมเชย รางวัลที่ 1..." ผมจับมือกับพี่นัทและรตาที่นั่งอยู่ข้างๆกัน "ได้แก่......"
รู้สึกโล่งใจที่ไม่ใช่โรงเรียนสาธิตเกษตร
"รางวัลที่ 2... ที่3... ที่4... ที่5..." ทุกๆครั้งผมจะลุ้นสุดตัว แล้วก็โล่งใจสุดใจหลังประกาศว่ารางวัลชมเชยไม่ใช่ของเรา
"6... 7..." ถึงวินาทีสำคัญแล้ว ต่อไปเป็นรางวัลชมเชยรางวัลสุดท้าย ถ้าไม่ใช่ทีมเราก็แสดงว่าเราจะได้รางวัลชนะเลิศ!!
"รางวัลชมเชย รางวัลที่8 ได้แก่...." นี้เป็นวินาทีที่ผมยังจำได้ชัดเจน ผมนึกภาพทุกภาพที่ทุ่มลงไปกับงานนี้


แล้วน้ำตา...ก็ซึมออกมา...


...
ผมรู้ตัวว่าผมเป็นแค่เปลือก
แม้ว่า การนำเสนอจะออกมาดีเท่าไหร่ การที่ได้รางวัลชนะเลิศนั้น คงผิดถนัดว่าถ้าคิดว่าทั้งหมดเป็นเพราะผู้นำเสนอ
การนำเสนอ เป็นเพียงปัจจัยสุดท้าย ของรางวัลชนะเลิศ
ทุกๆอย่างที่มาถึงตอนนี้ได้ เพราะแรงของทุกๆคน รุ่นพี่ เพื่อนๆ รุ่นน้อง
พี่นัท คือบุคคลสำคัญที่ทำให้เราเข้ารอบมาถึง ผมอยากจะคารวะ 20 จอก
แต่ถึงอย่างไร เป็นธรรมชาติเวลาใครที่ทุ่มเทกับสิ่งๆไหน ใจก็จะไปอยู่กับสิ่งนั้นด้วย
ผมก็เช่นกัน ใจของผมอยู่กับงานนี้อย่างเต็มหัวใจ
...



"ผู้ชนะเลิศธุรกิจด้านบริการ ได้แก่ ค่ายสาธิต คิดสร้างสรรค์ โรงเรียนสาธิตเกษตร"
ก็คงไม่มีอะไร แทนความดีใจนี้ได้ มันคือความสุข ความสุขที่สุขล้น...


หลังจากนั้นก็คือบรรยากาศแห่งความยินดีปรีดา เราบอกต่อทุกๆคน ความสุขนั้นแพร่กระจายออกไป รตาคึกคักพูดไม่หยุด แต่ผมเหนื่อยเกินกว่าจะพูดตลอดเวลา ข้าวของทุกอย่างถูกเก็บ แล้วเราก็เดินทางกลับ ผมเดาว่าทุกคนคงเก็บความรู้สึกนี้เอาไว้อีกนาน



หลังจากนี้ คนก็จะรู้จักชมรมวิชาการนักเรียนสาธิตเกษตรหรือ Cubic Creative มากขึ้น คนจะสนใจว่า นักเรียนกลุ่มนี้คือใครกันหนอ... มันเป็นสัจธรรม ถ้าคุณไม่ประสบความสำเร็จ ไม่หล่อ ไม่สวย ดูอัธยาศัยไม่ดี ก็ไม่มีใครสนใจจะรู้จักคุณ



ผมขอขอบคุณ อาจารย์ดารณี อาจารย์สุมาลี อาจารย์ประวิทย์ พี่นัท พี่ชยุตม์ พี่ปิง พี่ป่าน พี่โม พี่กิ๊ฟ และรุ่นพี่ทุกๆคน ขอบคุณ รตา แก้ว ปราณ โอ๊ต knot เตี้ย และเพื่อนๆทุกคน ขอบคุณรุ่นน้องทุกคน ขอบคุณโรงเรียน ขอบคุณพ่อแม่ที่เข้าใจ ขอบคุณทุกๆคำนี้ เมื่อผมเขียนถึงใคร ผมหยุดและนึกถึงเขาคนนั้น ผมขอขอบคุณจากใจจริงครับ ทุกคน



ความรู้สึกที่ดีจากทำงานแบบนี้...
"แล้วเราจะได้พบกันอีกครั้ง... ไหมนะ"


05 กรกฎาคม 2548

โฆษณา

เราก็ถือว่าเป็นคนที่ดูทีวีเยอะ ถึงบางครั้งเวลามีโฆษณาก็มักไล่เปลี่ยนไปช่องอื่นเรื่อยๆ เพื่อที่จะหนีโฆษณา แต่ว่าโดยความจริงแล้ว เราค่อนข้างชอบดูโฆษณาที่แปลกๆ ใหม่ๆ เพราะหลายโฆษณาทำออกมาได้อย่างสร้างสรรค์ บางโฆษณาก็ตลกมากๆ

แต่ก็มีโฆษณาบางประเภทที่เราไม่ชอบโดยอย่างยิ่ง นั่นคือโฆษณาที่ชอบโยงอะไรที่ไม่เกี่ยวข้องกันให้มาเกี่ยวข้องกัน โฆษณาบางโฆษณาใช้เรื่องความเป็นไทย วีรบุรุษไทยเข้ามาเกี่ยวข้อง (กินแล้วภาคภูมิใจ ไทยทำเองเมาเอง) ทั้งๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวกับตัวสินค้าเลย ยกเว้นที่สินค้านั้นผลิตในประเทศไทย เรามองว่าเป็นการชักจูงคนดูโดยล่อหลอกมากกว่านำเสนอตัวสินค้าจริงๆ โฆษณาที่กล่าวมาข้างต้น เราคิดว่าคล้ายกับพวกโฆษณาเหล้าบุหรี่ในอดีตที่มักชอบเอาคนหล่อๆ สวยๆ หน้าตาดีๆ มาเป็นนายแบบนางแบบ เท่าที่ทราบ โฆษณาประเภทนี้จะฝังหัวคนดูว่าบุหรี่และของมึนเมาทำให้ดูเท่เหมือนกับ นางแบบนายแบบในโฆษณา

โฆษณาประเภทต่อมาที่เราไม่ชอบ โฆษณาพวกนี้ชอบใส่คำศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ยากๆ เข้าไปเพื่อทำให้ดูว่าผ่านการรับรอง หรือดูเหมือนว่ามีสารบ้าบอนานาที่เป็นประโยชน์ ที่เห็นชัดที่สุดเช่นโฆษณาหนึ่งบอกว่าผลิตภัณฑ์ของเค้าผสมเกลือแกง ฟังแบบนี้แล้วดูไม่ดีใช่มะ จริงๆ แล้วในโฆษณาบอกว่าผสมเกลือโซเดียมคลอไรด์ คือจะบอกว่าผสมเกลือเฉยๆ ก็ไม่ได้ เราเลยมองว่าเป็นการพยายามที่จะทำล่อหลอกคนดูมากกว่าที่จะเพียงให้ข้อมูลว่ามีสารอะไรผสมในผลิตภัณฑ์ อีกหลายโฆษณาก็กระหน่ำผู้ชมด้วยชื่อยากๆ ทางวิทยาศาสตร์ เพียงแค่พยายามให้ดูดี คือการให้ข้อมูลเป็นสิ่งดี แต่การทำเหมือนจะให้ข้อมูลแต่กลับเป็นการล่อหลอก มันดูจงใจหวังเพียงแค่ผลกำไรเกินไป

โฆษณาแบบต่อมา อันนี้ไม่ได้ไม่ชอบแต่คิดในใจว่ามันจะขายได้มั้ย คือโฆษณาที่ดูแล้วไม่รู้ว่าผลิตภัณฑ์อะไร บางอันดูแล้วคนดูจำชื่อผลิตภัณฑ์ไม่ได้ เคยมีโฆษณาหนึ่งเราเอาไปตั้งคำถามให้แข่งกันตอบคำถามเกี่ยวกับโฆษณา เราถามแค่ว่าผลิตภัณฑ์ชื่อเต็มๆ ว่าอะไร ปรากฏว่าไม่มีใครตอบถูกเลย

อยากให้แนวทางของโฆษณาดำเนินไปในทางที่สร้างสรรค์ หลอกลวงหรือล่อหลอกกันน้อยกว่านี้ เพื่อประโยชน์จริงๆ ของผู้บริโภค

03 กรกฎาคม 2548

จากคำพูดลอยๆ

จากคำพูดลอยๆเล่นๆของผม...

สิ่งที่ผมพอจะจำได้... หลังจากที่กลับจากงาน "Fat Festival 4" มาพร้อมกับความประทับใจ ผมพูดขึ้นเล่นๆว่า ทำไมเราไม่จัด Cubic Festival กับเค้าบ้างเล่า และหัวเราะ...
เป็นเพียงคำพูดขำๆเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว...

วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน ปีพุทธศักราช 2548 งานมหกรรม Cubic Festival : June 2005 โดยชมรมวิชาการนักเรียนสาธิตเกษตร จบลงแล้วอย่างสวยงาม

ในฐานะผู้เขียน ผมอยากเอ่ยให้ทุกคนที่ คิดว่า... อะไรกันนะ Cubic Festival ไม่เคยรู้จัก หรืออาจแค่เห็นคำๆนี้ในโปสเตอร์ที่แปะไว้ตามเสาของโรงเรียน หรือสาเหตุใดก็ตามแต่
Cubic Festival คืองานมหกรรมงานหนึ่งของชมรมวิชาการนักเรียนสาธิตเกษตร ที่ประกอบด้วยนิทรรศการ ลานกิจกรรม ลานอาหาร การแข่งขัน Cubic Quiz mini และ Cubic Competition mini ภายในงานมีการสะสมแต้มคะแนนเพื่อแลกของรางวัล และเพื่อชิงทุนการศึกษาต่อไป งานนี้จัดขึ้นทั้งหมด 3 วันคือตั้งแต่วันพุธถึงวันศุกร์ มีผู้เข้าลงทะเบียนร่วมกิจกรรมรวมโดยประมาณเกือบสองร้อยคน ได้รับคำชมจากฝ่ายต่างๆพอสมควร ได้เห็นรอยยิ้มของน้องๆที่เป็นผู้เข้าร่วมพอสมใจ
หากใช้สายตากราดภาพรวมภายในงาน Cubic festival ตลอดสามวันนี้ ก็จะเห็นน้องๆประถมต้น ประถมปลาย และมัธยมต้นประปราย เข้าแถวเพื่อเล่นกิจกรรมต่างๆที่ลานสีส้มฝั่งใกล้อาคาร 4 เพื่อสะสมแต้มแลกของรางวัลอย่างเนืองแน่น สนุกสนานครับ ผู้คุมเกมเองก็ท่าทางเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง มองไปอีกฝั่ง โต๊ะเรียงรายขายอาหารหลายหลากชนิด กล้วยราดช็อกโกแลตน่าอร่อยมาก hotdog น้ำผลไม้ และไอติมหวานเย็นหมุนที่ไม่เคยร้างคนกิน จ้องให้ดีก็จะเห็นหยาดเหงื่อของคนขาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง... เหงื่อชุ่มของคนหมุนเครื่องทำหวานเย็น (ผมเองเคยอาสารับหน้าที่นี้อยู่ 10 นาทีก็ต้องขอพักไปตามระเบียบ)
หากหันหน้ามองตรง ที่เวทีหลักของงาน พิธีกรคู่หูคู่ฮายังมีเกมตอบคำถามทายคำ เกมเล็กเกมน้อย เกมเหล่านี้กลับทำให้น้องแย่งกันมาตอบคำถามกันอย่างสนุกสนาน มีการสัมภาษณ์ผู้ที่ปรึกษา สัมภาษณ์ประธานชมรมในปัจจุบันและในอดีต รวมถึงผู้ก่อตั้งชมรมแต่ตอนต้น เมื่อย้ายเข้าไปภายในตัวอาคารอุบลจะต้องสะดุดตากับปฏิมากรรมสุดสวยงาม สีสันสดใสเจากโดมินาหลายพันชิ้นที่เรียงตัวกันอย่างเป็นศิลปะที่น่าอัศจรรย์ จากการแข่งขัน Cubic Competition mini และหากมองไปรอบๆ บอร์ดนิทรรศการอธิบายถึงความเป็นมา อุดมการณ์ ข้อมูลทั่วไปของชมรมมีเรียงตัวอยู่ด้านฝั่งผนังอาคารด้านหนึ่ง ลึกเข้าไปในหอประชุมยังมีการแข่งขันตอบปัญหาความรู้รอบตัว Cubic Quiz mini พิธีกรคู่สาวร่างเล็กน่ารักดำเนินการแข่งขันไปด้วยแสงเสียงอลังการ คำถามหลากรูปแบบ น่าตื่นตาตื่นใจ และด้านหลังห้องระชุมยังมีลานกิจกรรมในอาคารอีกด้วย
...บรรยากาศของความสนุกหน่ะครับ

เริ่มแรกเดิมที งาน Cubic Festival เราคิดว่าไว้จะจัดเป็นการนิทรรศการที่ไม่มีอะไรเป็นพิเศษมากนัก คือมีบอร์ด มีคนอธิบาย มีอัลบั้มรูปกิจกรรมต่างๆที่ชมรมเราเคยจัดมา ซึ่งมันเยอะมากแต่คนไม่ค่อยรู้ว่าเป็นชมรมนี้จัด
เมื่อมีแกนจุดประสงค์หลัก เราก็ค่อยๆคิดเสริมเข้าไปว่าเราจะใส่อะไรลงไปในงานนี้อีก คิดตลบไปตลบมาปรากฏว่าก็มีลานอาหาร มีกิจกรรมจากค่ายที่เคยจัดย่อมาอยู่ในงานนี้ มีการแข่งขันอะไรต่างๆก็ว่ากันไป กลายเป็นงานมหกรรมแห่งความสนุกสนานที่ใหญ่และเห็นภาพว่าคงจะเหนื่อยกันมากมายแน่ๆ
แต่ ผมก็ชอบในแนวคิดนี้ เพราะคิดว่า ลำพังเพียงข้อมูลที่เป็นบอร์ด หรือภาพที่บันทึกความสนุกสนานต่างๆเอาไว้มันไม่สามารถสื่อถึงใครต่อใครได้ดีนัก
แต่ถ้าเราสร้าง บรรยากาศความสนุก ในแบบของเราให้ผู้ที่เข้าร่วมมาได้รับโดยตรงเลย สิ่งนี้น่าจะทำให้เค้าจำเราได้ และรู้จักเราอย่างแท้จริง

ตั้งแต่ก่อนเปิดเทอม พวกเราก็เริ่มเตรียมงานวางแผนกันมา คิดว่ากิจกรรมจะเป็นยังไงๆบ้าง อาหารจะขายอะไร จะเอามาขายยังไง นิทรรศการจะมีเนื้อหาอะไร ของรางวัลจะเป็นแบบไหนยังไง ยังไงๆๆๆ เยอะแยะไปหมด ประชุมมากมายหลายครั้ง และก็ไม่ได้ทำการบ้านที่บ้านมานานเกือบสองสัปดาห์ก่อนงานเริ่ม
ตั้งแต่ก่อนงานจะเริ่มวันจริง ทุกคนต่างเหน็ดเหนื่อย ม.5 นั้นรับบทหนักเพราะว่ามีกีฬาสีที่ต้องทำควบไปด้วย ม.6 ก็มีคุณพ่อคุณแม่คอยบ่นอยู่ถ้วนหน้าเพราะว่าไม่มีเวลาอ่านหนังสือติวเอนท์
และทุกอย่างก็ผ่านไปอย่างราบรื่น บนความเหน็ดเหนื่อยนี้เอง และบนความสุขของน้องๆ ที่เข้าร่วมงาน แน่นอน... ของพวกเราด้วย

ในฐานะเป็นประธานชมรมวิชาการนักเรียนสาธิตเกษตรนี้ ต้องขอขอบคุณทุกคนมากๆ ตั้งแต่ อาจารย์สุมาลี อาจารย์ที่ปรึกษาที่สุดยอดใจดี อาจารย์สุมาลีคืออาจารย์ที่ให้ความสะดวกกับชมรมอย่างมากมาย ให้คำปรึกษาดีๆมากมาย ถ้าไม่มีอาจารย์กว่าจะเริ่มทำอะไรได้คงต้องส่งเรื่องผ่านโรงเรียนไปมาๆ จนเริ่มงานนี้ได้ตอน 2 ปีหน้า ขอบคุณพี่นัท พี่ชยุตม์ พี่วิร์กิจ พี่ป่าน พี่ปิง พี่หนิง พี่ทุกคนที่มาช่วยเหลือในสิ่งที่ขาด ขอบคุณเพื่อนรุ่นเดียวกันที่มาช่วยกันทำงานนี้ให้สำเร็จ ขอบคุณรุ่นน้องทุกๆคนที่แบ่งเวลาการทำกีฬาสีมาช่วยทำงานนี้ (เริ่มรู้สึกเหมือนเขียน special thanks ในปกเทป.. -_-" ) เอาเป็นว่า ผมรู้สึกดีเมื่อนึกถึงความรู้สึกหนึ่งที่เป็นจุดรวมของทุกคน คือความรู้สึกที่อยากให้ อยากให้ความสนุก ความอร่อย ความรู้ ...ทุกๆอย่าง... เลยรู้สึกขอบคุณทุกคนจริงๆ
ถ้าเรามีความพร้อมเช่นนี้ไปตลอด ผมเชื่ออย่างมากมายว่า ชมรมของเราจะต้องก้าวไปข้างหน้าอย่างแข็งแรงและมั่นคง

แต่ก็อดหวาดไม่ได้ครับ อุปสรรคของการดำเนินงานองค์กรขนาดสามสิบสี่สิบคนนั้น คงไม่ใช่งานที่เด็กมัธยมจะบริหารให้ผ่านพ้นไปได้อย่างง่ายดายนัก