.comment-link {margin-left:.6em;}

 

27 พฤษภาคม 2548

การเดินทาง

มะรืนนี้กำลังจะเดินทางกลับไทย
ว่าไปแล้ว มองย้อนไปหนึ่งปี ปีนี้ดูเป็นปีที่ยาวนานมาก
แต่ถ้ามองจากตรงนี้ มันก็สั้นนัก
ปีที่ผ่านมา เราเดินทางไปโน่นมานี่มากมาย
ถ้านับแล้วนั่งเครื่องบิน 10 เที่ยว (ไปกลับนับ 2)
แต่ถ้าพูดจริงๆ ชีวิตก็คือการเดินทางเที่ยวใหญ่
ในมิติของเวลา
เหมือนๆกับทุกการเดินทาง
เมื่อเริ่มต้นก็ดูยาวนาน แต่เมื่อถึงมันก็สั้น
โดยเฉพาะเมื่อถึงฝั่ง
ไหนๆ เดินทางทั้งที ก็น่าเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้เต็มที่
แต่ยังไงการเดินทางก็เป็นเหมือนการพักผ่อน
สบายๆ แต่มีคุณค่า

ปล. วันนี้มีกินข้าวมื้อพิเศษ ได้ข้อคิดว่าอาหารไม่ต้องทำหรู แต่วัตถุดิบเลิศ ก็อร่อยได้แบบง่ายๆ

งานสร้างสรรค์

เมื่อมีคนถามคำถามมาว่า ชมรม Cubic Creative ของเราทำอะไร
มีคำตอบที่ชัดเจนหากสังเกตจากทุกๆอย่างที่เราทำมาแต่แรก
เรา "สร้างสรรค์" กิจกรรม

แต่ด้วยหลายคน หลากพื้นฐานความคิด คำว่า สร้างสรรค์ สำหรับแต่ละคนจึงไม่เหมือนกัน บางครั้งในชมรมเมื่อจะระดมสมองคิดกิจกรรมใดก็ตาม ก็ต้องถกเถียงกันด้วยความยึดติดในความ "สร้างสรรค์" ในแบบของตัวเอง
การสร้างสรรค์สำหรับบางคนนั้น กลับถูกบางคนบอกว่าเป็นการลอก ไม่ได้สร้างสรรค์แต่อย่างใด

ผมอยากจะเสนอ มุมมองของผมต่อ "งานสร้างสรรค์" ให้สร้างสรรค์สักหน่อยครับ


...

ในการสร้างสรรค์อะไรซักอย่างนึงขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นงานเพลง ละคร ภาพ หรืองานค่าย มักมีคนกล่าวเสมอ "แม่งลอกมาเลยนี้หว่า"... "ตรงนี้เหมือนตรงนั้นอย่างกับแกะ"... "นี่ใช้การสร้างสรรค์หรือ"...

หากเรามองอะไรเป็นส่วนย่อยๆ เพื่อมาเปรียบเทียบ กับส่วนย่อยๆของงานสร้างสรรค์แต่ละงานนั้น แน่นอนครับ... มันไม่เคยไม่เหมือนกัน มนุษย์ก็ย่อมสร้างสรรค์งานขึ้นมาแบบมนุษย์ด้วยกันทั้งนั้น

ถ้าเช่นนั้นจะเหลืออะไรเล่าคือสิ่งที่ใหม่ อะไรคืองานสร้างสรรค์

การสร้างสรรค์ คือการนำสิ่งเก่าๆที่มีอยู่รอบตัว มาเรียบเรียง ผสมผสาน ให้เกิดความรู้สึกใหม่ งานทุกงานมีการผสมผสานที่แตกต่างกัน การเรียบเรียงที่ต่างกัน งานทุกงานมีความสร้างสรรค์อยู่ในตัวของมัน

เปิดใจให้กว้าง แล้วเราจะพบว่า สิ่งๆนี้ก็มอบความรู้สึกดีๆ ความสุนทรีย์ ในอีกรสชาติหนึ่งให้เราเหมือนกัน แค่นั้นไม่เพียงพอหรือ

เช่นเดียวกันสำหรับคนที่คิดจะสร้างสรรค์งาน อย่ากลัวที่จะยืมความคิดของคนอื่นมาปรุงแต่งงานของเรา เพราะทุกงานมันก็เกิดจากวิธีการแบบนี้ด้วยกันทั้งนั้น เพราะเราไม่เคยรู้ตัว ว่าความคิดทุกอย่างที่เรามีก็เกิดจากการนำสิ่งรอบตัวที่เคยมีอยู่แล้วมาผสมผสานเรียบเรียง

23 พฤษภาคม 2548

เรียนเป็นเล่น

เคยได้ยินว่า "เรียนเป็นเรียน เล่นเป็นเล่น" ซึ่งหมายความว่าถ้าเวลาเรียนก็เรียนให้เต็มที่ เวลาเล่นก็เล่นให้เต็มที่ ทำอะไรให้เต็มที่จะได้ผลออกมาดีกว่า เราเคยเชื่อมาแบบนั้น แต่ว่าในตอนนี้มุมมองของเรากลับตรงข้าม เรากลับคิดว่าน่าจะ "เรียนเป็นเล่น เล่นเป็นเรียน" - เหมือนที่นายกฯทักษิณเคยพูดว่าเรียนให้สนุก เล่นให้มีความรู้ - ทั้งนี้ ไม่ได้มีจุดประสงค์ support ทางการเมืองไม่ว่าแก่ใครก็ตาม

โอเค กลับมาเรื่องเรียนกับเล่น คือเราเห็นปัญหาว่า เด๋วนี้ระบบการศึกษาเรามันแปลกๆ เริ่มต้นมาในอดีตมากๆ สมัยพระอภัยมณี (ยกตัวอย่างในนิยายคงโอเคนะ น่าจะใช้ได้เหมือนกัน) พระอภัยมณีไปเรียนเป่าปี่ด้วยความสมัครใจ ไม่มีใครบังคับ (เอาเหอะ พ่อแม่เค้าบอกให้ไปเรียนก็จริง แต่ก็ไม่ได้ไปเรียนที่พ่อแม่อยากให้เรียน แต่พ่อแม่ก็ไม่ได้บอกลูกก่อนนี่นาว่าอยากให้เรียนอะไร) กลับมาที่พระอภัยมณี เค้าก็ไปเรียนของเค้าเอง ไม่ต้องมีกฎว่าถ้าไม่ไปเรียนจะหักคะแนนพฤฒิกรรม ไม่ต้องมีการสอบวัดระดับให้วุ่นวาย เรียนไปถ้าตั้งใจก็ได้ประโยชน์เอง และก็มีแต่ที่ลูกศิษย์จะพยายามฝึกฝนเล่าเรียนให้สำเร็จลุล่วง ไม่เห็นว่าอาจารย์ต้องมาเขี่ยวเข็ญ

ผ่านมากี่ปีไม่รู้ เราเริ่มมีระบบวัดระดับมาตรฐานด้วยการสอบ ด้วยเกรด นักเรียนก็ขี้เกียจไม่อยากเรียน ต้องมีกฎเกณฑ์มาบังคับให้เรียน เหมือนพยายามเรียนให้จบๆไปแบบนั้น สิ่งที่เรียนไปก็เหมือนว่าเอามาสอบแล้วก็ทิ้ง

มันเกิดอะไรขึ้น!!!

จะบอกว่าควรทิ้งระบบการสอบไป มันก็ไม่ได้เพราะว่าเราต้องการตัววัดผลการเรียน แต่อยากรู้ว่ามีอะไรวัดผลการเรียนได้ดีกว่าการสอบมั้ย มันก็มีเช่น ถ้าให้ทำเป็น project อะไรแบบนี้ แต่เทียบกันกับการสอบแล้ว การสอบดูเป็นวิธีที่ง่ายกว่ามากโดยเฉพาะยิ่งเมื่อจำนวนนักเรียนมากเป็นโขลง เอ้ย โขยง จะให้อาจารย์มานั่งดูงานที่มีรายละเอียดมากๆ มันก็ยาก แถมถ้าเป็นโปรเจค ก็โกงกันไม่ยอมทำเองได้อีกง่ายๆด้วย ถ้ามองในระดับใหญ่ขึ้นเช่นเกรดที่ได้ ยิ่งเหมือนเป็นระบบที่ฝังลึกและทิ้งไม่ได้หนักเข้าไปอีก

จะทำยังไงดีให้นักเรียนเราเรียนเพราะอยากเรียน
เรามองว่าถ้านักเรียนอยากเรียนแบบต้องการความรู้จริงๆ จะมีด้วยความต้องการสองแบบ
1 อยากได้ความรู้ตรงนั้นจริงๆ มีความชอบความสนใจ อันนี้ถ้าเป็นได้จะถือว่าเยี่ยมมาก
2 เหมือนเป็นการลงทุน อยากรู้เพื่อเอาความรู้นั้นไปใช้ในการเรียนความรู้ขั้นสูงต่อไป หรือเอาไปใช้ในชีวิต หรือเอาไปประกอบวิชาชีพ อันนี้ดูไม่ดีเท่าอันแรก แต่เราก็ว่าสมเหตุสมผลดี

ส่วนสิ่งที่เราไม่อยากเห็นคือเรียนเพื่อเกรด ใช้เทคนิคต่างๆนานาเพื่อทำให้ได้เกรดที่ดี หรือเรียนแค่ให้จบ โดยไม่ได้ความรู้อะไรติดตัวไป

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องแก้ปัญหาที่จุดไหน แต่ที่แน่นอนคือควรเริ่มต้นแต่เด็ก อย่างที่รู้ๆกันว่าไม้แก่ดัดยาก สิ่งหนึ่งที่น่าทำคือทำให้การเรียนที่โรงเรียนน่าเบื่อน้อยลงได้มั้ย ให้เรียนแล้วรู้สึกสนุก อยากรู้อยากเห็น หรืออย่างน้อยก็เห็นว่าเรียนแล้วได้เอาไปใช้ จะได้มีความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากกว่าอยากได้เกรด

ถ้าเคยลองอ่านหนังสือเรียนดู ไม่รู้ทำไมเค้าต้องทำให้เรารู้สึกว่ากำลังอ่านหนังสือเรียนอยู่ก็ไม่รู้ ต้องเขียนให้อ่านแล้วเบื่อและงงๆ เหมือนเพื่อจะให้นักเรียนอ่านแล้วได้คิดมากๆ ถ้าทำให้มันดึงดูดนักเรียนได้จะดีมากๆเลย การเรียนการสอนในห้องก็เหมือนกัน เราคิดว่าน่าจะทำให้มันไม่น่าเบื่อ แบบถ้ามีการโต้เถียงหาข้อเท็จจริงกัน มีกิจกรรมที่สนุกทำ (ที่นักเรียนเห็นว่าสนุก ไม่ใช่ที่อาจารย์เห็นว่าสนุกหรือที่หนังสือบอกว่ามันเป็นกิจกรรมที่สนุก) ก็น่าจะดึงดูดความสนใจของนักเรียนได้ดีขึ้น ไม่อยากให้ใช้เวลาในห้องเรียนเป็นเวลาที่อาจารย์เล่าเนื้อหาให้นักเรียนฟังเพราะไปอ่านเองก็ได้ แต่อยากให้เป็นเวลาที่ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกันซะมากกว่า

13 พฤษภาคม 2548

การคัดเลือก

ผมสะสมเพลงมากมายหลายพันเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ แต่เอาเข้าจริงๆก็ยังมีเพลงที่ค้างเอาไว้ไม่เคยเปิดฟัง
เว็บไซต์ในอินเตอร์เน็ตมีนับไม่ถ้วน ก็ยังพอนับได้ว่ามีที่เข้าอยู่ประจำกี่เว็บ
หนังสือที่ดี ที่น่าอ่านนั้นมีมากเกินกว่าจะใช้เวลาทั้งชีวิตอ่านได้ทั้งหมด


สารในโลกนี้นั้นมีมากเกินกว่าความสามารถของมนุษย์จะรับมันไว้
เรา...อย่างมาก ก็ได้แค่เลือกที่จะรับมันไว้เพียงบางส่วน


ผมเคยใช้โปรแกรม plug-in ของ msn plus! ตัวหนึ่งซึ่งตอนแรกเห็นนั้นก็ทึ่งในความสามารถของมันที่หลากหลาย คนที่ใช้โปรแกรมนี้จะสามารถรู้ได้ว่าใครเปิดหน้าจอเราเพื่อจะมาคุยกับเรา ใครปิดหน้าจอที่คุยกันอยู่ และความสามารถพิเศษอื่นๆเต็มไปหมด


ก่อนจะเริ่มใช้ เอ่ะใจคิดอยู่เหมือนกันว่า ไอ้ความสามารถที่จะรู้ได้ว่าใครปิดหน้าจอของเราระหว่างที่คุยกันอยู่นั้น จะมากวนใจเสียความรู้สึกไปเปล่าๆ หรือไม่ แต่อีกความคิดก็สวนกลับไปว่า รู้ย่อมดีกว่าไม่รู้ ขอเพียงตัวเรารับได้ก็พอ พยายามรับรู้ด้วยสติสัมปชัญญะและไม่เก็บมาเป็นอารมณ์... เท่านี้ก็จบ ด้วยดี


ผมทำไม่ได้
เวลาที่เรารู้ว่าคนที่เราด้วยอยู่ด้วยนั้น ปิดหน้าจอเราไปเสมอๆ เวลาที่เราพยายามจะไม่รู้สึกอะไร เวลานั้นสมองก็เก็บไปคิดแล้ว
...

ผมลบโปรแกรมนั้นทิ้งไปนานแล้ว
เรื่องบางอย่างเราไม่จำเป็นต้องใส่ใจที่จะไปรับรู้การมีอยู่ของมัน
เรื่องที่ไม่เป็นความจริง เรื่องที่ทำให้เสียความรู้สึกเปล่าๆ เรื่องที่ไม่ได้ก่อประโยชน์กับใคร... 3 อย่างนี้เราอาจทำเป็นมองผ่านมันไป


ก็เหมือนกับเพลง... ยังมีเพลงเพราะรอให้เราฟังอยู่อีกมากมาย

12 พฤษภาคม 2548

Problem Based Society

กำลังคิดว่า ทุกวันนี้ระบบการศึกษาในระดับมัธยมศึกษา (โดยเฉพาะตอนปลาย) มันกำลังจะสอนอะไรเด็กกันแน่? จุดประสงค์ของมันคืออะไร?

สิ่งที่น่าคิดก็คือ ทุกวันนี้ระบบการเข้ามหา'ลัยเป็นการใช้การสอบเอ็นทรานซ์ อย่างน้อยก็ที่สุดก็คือใช้ข้อสอบนั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่าข้อสอบก็คงไม่พ้นลักษณะของโจทย์คำถาม ดังนั้นการศึกษาในช่วงนี้ ดูราวกับจะเน้นการทำโจทย์ต่าง ๆ มากกว่า

คำถามต่อมา เด็กได้อะไรจากการทำโจทย์ต่าง ๆ ได้ถูกต้อง และเราวัดอะไรเด็กคนนั้นได้จากการที่เค้าทำโจทย์ต่าง ๆ ได้?

จริง ๆ แล้วนี่ก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่เชื่อมโยงการศึกษาทั้งสองระบบเข้าไว้ด้วยกัน และคงเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษาเช่นเดียวกัน

04 พฤษภาคม 2548

ระบบการศึกษา

เรามาเรียนอยู่ใน high school ใน america หนึ่งปี ก็อยากจะเล่าความแตกต่างของระบบการศึกษาที่เราเห็น ของ america กับไทย ซึ่งเราคิดว่าต่างก็มีข้อดีของตัวเองที่ต่างกัน

1 american high school : grade 9-12
ไทย มัธยมปลาย : grade 10-12
อันนี้เหมือนต่างความคิดว่านักเรียนควรได้ตัดสินใจว่าอยากเรียนไปทางไหนเมื่ออายุเท่าไร สี่ปีของอเมริกาก็ทำให้ได้เรียนที่ตัวเองชอบได้มากกว่า เร็วกว่า ส่วนสามปีที่ไทยให้เริ่มเรียนแยกตอนม สี่ ก็ทำให้นักเรียนมีพื้นฐานที่แน่กว่า

2 คอร์สที่เรียนใน high school
america : มี core ที่บังคับส่วนนึง ได้เลือกเองอีกส่วน (ได้เลือกเองมากกว่า)ไม่มีแผนวิทย์แผนศิลป์
ไทย : มี core, วิชาบังคับเลือกที่แบ่งวิทย์ศิลป์, แล้วก็วิชาเลือกที่แท้จริง (ได้เลือกเองน้อยมาก)
(หมายเหตุ - เราพูดจากมุมมองเด็กวิทย์นะ)
อันนี้เหมือนอเมริกาจะดีกว่าตรงที่นักเรียนเลือกเรียนได้อิสระมาก ทำให้ตรงความต้องการค่อนข้างแท้จริงมากกว่า คนที่สนใจวิทยาศาตร์แค่บางสาขาก็เรียนเฉพาะสาขานั้นได้ (อาจมีวิทย์สักตัวบังคับใน core) คอร์สให้เลือกเยอะดี ที่นี่เรียนเน้นเรื่องความหลากหลายของคอร์สที่เรียนค่อนข้างมาก เด็กจะรู้กว้าง
ข้อดีของที่ไทย เราไม่รู้เรื่องเด็กศิลป์เท่าไร แต่เราว่าการที่เรียนฟิสิกส์เคมีชีวะทุกปีทำให้พื้นฐานวิทย์เราแข็ง (ในด้าน"ความรู้")เรามานี่ก็ไม่ต้องเรียนฟิสิกส์เคมีชีวะอีก คือเลือกที่จะไม่ลงเองเพราะลงเรียนไปก็ซ้ำๆ เกือบหมดถ้าลงเรียน

3 วิธีการเรียนพวก history
america : บ้าอ่านเอง+เขียน essay
ไทย : ฟังเลคเชอร์จดมือหงิกเป็นส่วนมาก ข้อสอบส่วนใหญ่เป็นกา choice กะเติมคำ
อันนี้ยอมรับว่าชอบของอเมริกา เรารู้สึกว่าให้อาจารย์มาพูดสิ่งที่ต้องรู้เป็นเรื่องเสียเวลา อ่านเองจะดีกว่า ที่นี่เน้นอ่านแล้ว take note เอง แล้วไปถามเรื่องสงสัยในห้อง การเรียนในห้องก็ถามอะไรที่ไม่เข้าใจ อาจารย์เน้นจุดสำคัญ เสริมเกร็ดที่ควรรู้ ถามคำถามเช็คความเข้าใจเด็ก ส่วนเรื่องสอบ จริงๆที่นี่ก็มีสอบเติมคำบ้างแต่ หรือเขียนอะไรสั้นๆก็มี แต่ยิ่งเรียนสูงขึ้นก็จะเป็นเขียน essay ส่วนในไทยจะได้เขียน essay ก็เข้ามหาลัยแล้ว จริงๆส่วนนึงเป็นเรื่องของจำนวนนร ด้วย เขียน essay ที่นี่เน้นเรื่องการตั้ง thesis (arguement ที่เราคิด) แล้วเขียน paragraph มา support ซึ่งทำให้ได้คิดมากกว่า (แต่ก็ต้องจำอยู่ดี) ส่วนที่ไทยยอมรับว่าเน้นจำมาก จะมีเน้นคิดหรือความเข้าใจก็บ้างแต่น้อย

4 วิธีการเรียน english - เทียบกับเรียนภาษาไทย
american - เรียนวรรณกรรมเป็นเล่มๆ เรื่องๆ จบทั้งเรื่อง เน้นเขียน essay วิเคราะห์เรื่อง, เปรียบเทียบสองเรื่อง ฯลฯ
ไทย - อ่านแล้วถอดความให้ออก เน้นข้อคิดที่ได้ ความเข้าใจเรื่อง ตัวละคร ความงามภาษา
เรารู้สึกว่าเรียนภาษาอังกฤษที่นี่แล้วได้คิดเอง เสนอความคิดตัวเองมากกว่าเรียนภาษาไทยที่ไทยอะ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะวิธีการเรียนมันต่างกันเพราะตัววรรณกรรมมันต่างกันหรือปล่าวนะ แต่เราคิดว่าเรียนภาษาไทยน่ะ ไม่ค่อยได้อ่านเอง ส่วนมากอาจารย์ก็ go through แปลศัพท์ถอดความและวิเคราะห์ให้ฟังในห้อง แล้วเราก็จด แล้วตอนสอบก็ค่อนข้างจำ แต่ถ้าเข้าใจก็ช่วยให้จำน้อยลงเยอะเหมือนกัน แต่มาเรียนภาษาอังกฤษที่นี่ เค้า assign ให้อ่านวันละเท่านี้ๆหน้า แล้วก็ไป discuss ในห้อง น้อยเรื่องที่อาจารย์จะ go though ให้แบบไทย แต่ก็มีเช่น hamlet เพราะภาษามันซับซ้อน มีอะไรให้วิเคราะห์เยอะมาก เราคิดว่าจุดดีคือได้เขียน essay แสดงความคิดตัวเอง มันอิสระและได้คิดอะ

5 math ที่อเมริกาเทียบกะไทย
จำได้ว่าที่ไทยจะแบ่งเป็นเลขง่ายเลขยาก ที่นี่ตอนเข้ามาเค้าจะให้สอบวัดระดับทุกคนแล้วค่อยเลือกว่าจะไปเรียนคอร์สอะไร ของไทยเราบังคับหลักสูตรมาเลยใช่มะว่าจะเรียนเรื่องอะไรแล้วอะไรต่อ แต่ที่นี่จะเป็นคอร์สแบบ algebra, pre-cal, calculus, geometry, statistic อะไรแบบนี้ คือค่อนข้างแยกๆกันเลย มันก็มีข้อดีตรงที่ว่าเรียนแล้วปีนึงๆ หรือเทอมนึงๆ ได้เรียนเป็นเรื่องๆ ชัดเจนดี แล้วก็เลือกได้เองว่าจะเรียนยังไง คนที่เก่งก็ข้ามๆเรียนเร็วได้ คนอ่อนก็ take ตัวง่ายๆได้ แบ่งกันได้หลายระดับกว่า แต่ข้อเสียคือเด็กบางคนก็ไม่รู้ math บางเรื่องไปเลย (ซึ่งมันก็อาจไม่ได้ใช้ในชีวิต ในกรณีนี้ก็ไม่เสียหาย) พูดถึงความยาก เลขไทยยากและถึกกว่ามาก ไม่ให้ใช้เครื่องคิดเลขด้วย เรียนที่นี่ใช้เครื่องคิดเลขได้ เครื่องคิดเลขแบบ plot graph, integrate ไรงี้ได้ด้วยอะ แต่เราชอบถึกๆแบบไทยนะ สะใจดี แล้วรู้สึกได้ฝึกอะไรมากกว่าด้วย พูดถึงด้านความเข้าใจ และความสามารถในการคิด เราก็ไม่รู้สึกว่าเด็กที่นี่จะเข้าใจหรือคิดเก่งกว่าอะ เราว่าเรื่องนี้พอๆกัน

6 เปรียบเทียบการเรียนวิชากลุ่ม science
ที่นี่ปีๆนึงส่วนมากเค้าเรียน science กันตัวเดียว คือเค้ามีคอร์สแบบ ฟิสิกส์1,2 เคมี1,2 ชีวะ1,2 ให้เลือก ก็เลือกเฉพาะที่ตัวเองจะเรียนอะ ต่างจากไทยที่บังคับเรียนสามตัวทุกปี จุดนี้ทำให้เรารู้สึกว่าวิทย์เด็กไทยแข็งกว่านะ (ถึงแม้เราจะไม่ชอบหนังสือแบบเรียนเอาซะเลย) แต่เรียนที่นี่วิทย์ concept แน่กว่าจริงๆ แต่ถ้าการทำโจทย์ เช่นฟิสิกส์ สู้เมืองไทยไม่ได้อะ รรเราวิทย์ค่อนข้างอ่อน แต่ถ้ารร ที่วิทย์แข็งก็แข็งมากเหมือนกันเช่น physics course สูงๆจะใช้ calculus เรื่องแล็บ แล็บที่นี่ส่วนใหญ่ใช้อุปกรณ์หรู ได้ทำแล็บเยอะ เราชอบที่ได้ทำแล็บเยอะและแล็บแต่ละอย่างค่อนข้างสร้างสรรค์กว่า แต่ว่าเราไม่ชอบเรื่องอุปกรณ์หรูอะ มันทำให้เด็กเป็นง่อยไม่ต้องทำอะไรเอง ลองคิดดูว่าแบบเช่นใช้ sonar วัดระยะและความเร็วแล้วข้อมูลเข้าคอมพิวเตอร์เลย ไม่ง่ายเกินไปอะ
ที่อเมริกามีวิชาวิทย์ที่เป็นวิชาเลือกเยอะกว่าอะ เช่นรรเรามี astrophysics กะ robotics - อยากให้ที่ไทยมีให้เลือกมั่ง จำได้ว่าเรามีแต่แบบฟิสิกส์พื้นฐานวิศวะ หรือเคมีในชีวิตประจำวันอะไรแบบนี้

ตอนนี้คิดออกแค่นี้อะ

01 พฤษภาคม 2548

งาน หน้าที่ ผลตอบแทน

วันนี้เพิ่งกลับจากการไปช่วยงานค่ายสมองแก้วในฐานะ "วิทยากร" มา สิ่งที่ทำก็คือการเป็นไปคนไปสอนเขียนโปรแกรมบนไมโครคอนโทรลเลอร์ที่ชื่อว่า P-ONE ของบริษัท Inex ที่เป็นภาษา logo เป็นเวลา 14 ชั่วโมง และช่วยงานของอ.บุปผชาติอีก 17.5 ชั่วโมง และช่วยงานอ.ประวิทย์อีก 8 ชั่วโมง และในวันสุดท้าย ก็ได้รับซองขาว (ไม่ใช่ไล่ออก) ที่ข้างในบรรจุเงินสดอยู่ 5,500 บาท

กรณีนี้ อยากลองเปรียบเทียบกับพี่เลี้ยง ที่ได้เวลาในการพักผ่อน (เวลานอน) น้อยกว่าเราประมาณ 2 - 6 ชั่วโมงต่อวัน และทำงานเป็นแรงงานเสียส่วนใหญ่ ที่ได้รับเงินในอัตรา 1,800 บาท ช่างดูห่างไกลกับของเราเสียเลยเกิน

ถ้าจะให้พูดกันตรง ๆ จะบอกว่า ที่ไปสอน logo นั่น ใช้เวลาศึกษาเกี่ยวกับคำสั่งต่าง ๆ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ของ P-ONE โดยใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงจากหนังสือและลองผิดลองถูก สำหรับงานที่ช่วยอ.ประวิทย์คือการเขียนโปรแกรมเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนาฬิกาจับเวลา หรือช่วยดูแลเกี่ยวกับการเปิดสื่อต่าง ๆ ผ่านคอมพิวเตอร์ ก็นับว่าเป็นงานที่ดูเล็กน้อยมากอีกเหมือนกัน

สิ่งที่รู้สึกก็คือ ทำไมเราถึงได้เงินในเรทที่สูงมากคือ 5,500 บาท หากเทียบกับพี่เลี้ยง (เคยเป็นเหมือนกัน) จะรู้สึกได้ว่าพี่เลี้ยงเหนื่อยกว่า และมีความรับผิดชอบมากกว่าพอสมควร (ถึงแม้จะอีกแง่มุมนึง คือการดูแลน้อง ๆ มากกว่า)

สรุปประเด็นที่จะพูดก็คือ ทำไมเราได้เงินเยอะมากกว่ามาก แสดงว่าสังคมให้ความสำคัญกับความรู้มากกว่าแรงงาน? น่าคิดว่า แนวคิดนี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่า...

แต่แนวปฏิบัติเดิมของชมรมวิชาการก็ดูว่าจะดูดีอยู่แล้ว คือการถือว่าทุกคนในทีมเท่าเทียมกัน และสมควรที่จะได้รับผลตอบแทนเท่ากัน ไม่ว่าใครจะทำหน้าที่อะไรมากน้อยแค่ไหนก็ตาม