.comment-link {margin-left:.6em;}

 

26 เมษายน 2548

Relavity

แค่อยากเอาอะไรที่ได้จากการเรียนมาเล่าให้ฟัง ในมุมมองแปลกๆ
เริ่มจากอะไรดีล่ะ ... Relativity ละกัน

Theory of Relativity เป็นทฤษฎีของไอน์สไตน์ ที่ based บนสอง postulates
1 อัตราเร็วของแสงมีค่าคงที่ ไม่ขึ้นกับ source หรือ observer
2 กฎฟิสิกส์เป็นจริงเหมือนกันในทุกกรอบอ้างอิง

สิ่งที่น่าสนใจที่เรามองก็คือว่าถ้าสอง postulates นี้ผิดขึ้นมา ทั้งทฤษฎีพังทันที
ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์มีลักษณะแบบนี้เป็นส่วนใหญ่ คือถ้าจุดเริ่มต้นพัง ทุกอย่างพัง
แต่การพังไม่ได้แปลว่างานนั้นไร้ประโยชน์ พังคือทฤษฎีนั้นไม่สามารถ predict ได้เป๊ะ 100%
แต่ว่าก็ยังใช้ในเงื่อนไขบางอย่างได้ หรือหาค่าประมาณได้
เช่นทฤษฎีของไอน์สไตน์ จริงๆก็ทำให้กฎแรงโน้มถ่วง หรือวิธีคิดกลศาสตร์แบบของนิวตันผิดไป
แต่ในระบบที่อัตราเร็วไม่ใกล้แสง แรงโน้มถ่วงไม่สูง (คือระบบส่วนใหญ่ที่พบบนโลก) เราก็ใช้นิวตันได้ ค่าที่ได้ก็ตรงใช้ได้เลย

คำถามนึงที่ตามมาก็คือว่า
สมมติเราพบหลักฐานอะไรที่ขัดแย้งกับทฤษฎีที่มี เรารู้ตัวว่าถ้าเปิดเผยไป เราจะทำให้ทฤษฎีนั้นพัง และเราก็ไม่มีทางเลือกใหม่สำหรับทฤษฎีนั้น เราควรเปิดเผยมันมั้ย
อาจารย์ก็พูดเกริ่นมาว่า ถ้าเปิดมาตรงนี้มา แล้วรากฐานทฤษฎีพัง แล้วมันก็อาจจะทำให้ science ล่มสลาย เราควรทำเหรอ ถ้าปิดมันไว้ไม่ดีกว่าหรือ หรือไม่ก็รอสักพักนึงก่อนแล้วค่อยเปิดเผย
เราคิดในใจว่า มันไม่ใช่แบบนี้ เราเลยเถียงไปว่า
การไม่เปิดเผยต่างหาก ที่จะทำให้ science ล่มสลาย เพราะ science ต้องการความซื่อสัตย์ของนักวิทยาศาสตร์ที่จะเปิดเผยความจริงของธรรมชาติ ถ้ามัวแต่ปิดแล้วปล่อยให้พัฒนาไปผิดๆ มันก็จะต้องพบกับทางตัน การเปิดเผยไป ถึงมันจะสั่นคลอนรากฐาน แต่สิ่งที่เรามีก็ยังให้ predict ได้ระดับหนึ่ง ถึงเราจะพัฒนาทฤษฎีใหม่เองไม่ได้ ก็เป็นการเปิดให้มีคนอื่นที่สามารถทำได้ มาพัฒนาตรงจุดนี้
สรุป อาจารย์เค้าก็ expect ให้มีคนเถียงไปแบบนี้แหละ เหอๆ เวรกรรม จริง
ไว้จะมีเล่าต่อ ตอนนี้พักแค่นี้ก่อน

23 เมษายน 2548

มุมมองการเป็นนักเรียนทุน

เราเคยคิดว่าการรับทุนมาเรียนเนี่ย เพื่ออะไร?

โดยส่วนตัว เคยมีความคิดว่าถ้าเรารับทุนแล้ว เรากลายเป็นเครื่องมือของรัฐบาลหรือปล่าว
ประมาณว่าเป็นคน ที่เค้าจ่ายเงินให้เรียนอะไรที่เค้าต้องการ แล้วเอาเราไปใช้ประโยชน์
เลยมาคิดว่า เอ๊ะ งั้นเราก็หมด free will ของเราไปหรีอปล่าวเนี่ย
เราไม่อยากเป็นเพียงแค่เครื่องมือ

พักความคิดตรงนี้ไว้ก่อน ไปมองอีกมุมนึง

เรามองว่าการรับทุนมา ทำให้เราได้เรียนอะไรที่เราชอบ คือฟิสิกส์
ถ้าไม่คิดเรียนฟิสิกส์ เราก็คงไม่เลือกที่จะรับทุนนี้
มีคนจ่ายให้เรียนอะไรที่ชอบ มีความสุข^^
แล้วกลับไปก็มีงานรองรับ เป็นงานที่เกี่ยวกับสิ่งที่เราชอบด้วย
เอาๆ รับๆ

เหมือนเห็นแก่ตัวมั้ย ความคิดนี้

ส่วนหนึ่ง จะเรียกว่าเห็นแก่ตัวก็ได้ เพราะเราเลือกทำเพื่อความสุขของเราเอง
แต่ความเชื่อของเราคือว่า เราควรทำสิ่งที่เราชอบ เพราะเราจะทำมันได้ดีที่สุด
เรามีความฝันของเราอยู่ว่า อยากได้ทำตัวเองให้เป็นประโยชน์กับคนอื่น
หรือถ้าลึกๆ เกี่ยวกับความฝันในงานด้านฟิสิกส์ ก็อยากค้นพบ หรือสร้างอะไรใหม่ๆ ขึ้นมา ที่จะได้ใช้เป็นรากฐานต่อไป
เราอาจจะเพ้อไป แต่ role model เราคือกาลิเลโอ ทีกล้าโต้แย้งสิ่งที่ผิด และเป็นจุดเริ่มต้นการพัฒนาสิ่งใหม่ที่ดีกว่า
เราเรียนด้วยเงินภาษีคนไทย แปลว่าเราต้องกลับไปพัฒนาชาติ ซึ่งเราเห็นด้วย
แต่อีกแง่นึง เราไม่อยากต้องทำทุกอย่างตามรัฐสั่ง หรือจำกัดว่าเราต้องกลับไปพัฒนาชาติ
แต่มองว่าอยากทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับคนอื่น แค่ขอให้เป็นประโยชน์ก็พอแล้ว

ความคิดเราคงไม่เหมือนคนอื่นว่ะ เราประหลาด แต่ก็อยากแชร์มันออกมา มาแลกเปลี่ยนกัน

21 เมษายน 2548

ภาพพจน์กับขยะ

วันนี้ (จริง ๆ แล้วเมื่อวาน) เตรียมงานกิจกรรมค่าย ICT ภาพต่อปริศนาทำให้นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

มนุษย์ในโลกของทุนนิยมนี่สิ้นเปลืองจริง ๆ

งานคือการตัดแผ่นฟิวเจอร์บอร์ดที่เพิ่งซื้อมาใหม่ เป็นแผ่นเล็ก ๆ จำนวนเกือบสามพันแผ่น และเขียนตัวเลขต่าง ๆ ลงไปเพื่อประกอบกิจกรรมเกมกลางคืนเกมหนึ่งในค่าย ICT

สิ่งที่เราพบคือ ขยะที่สูญเสียไปส่วนหนึ่งและไม่เกิดประโยชน์ และกองพลาสติกกองยักษ์ที่สามารถใช้งานได้แค่ข้ามคืนเดียวแล้วมันจะหมดค่าไป

จริง ๆ แล้ว มีประเด็นที่ว่า ถ้าอยากประหยัดจริง ทำไมเราถึงไม่หาของเก่า ๆ ที่ยังเหลืออยู่ของที่เคยจัดกิจกรรมอื่น ๆ มาใช้แทนฟิวเจอร์บอร์ดเพื่อทำแผ่นหมายเลขต่าง ๆ แทน

คำตอบ คงคำตอบเดียวกับที่ว่า ทำไมบริษัทต่าง ๆ ถึงไม่ใช่จดหมายที่ใช้แล้วหน้าหนึ่งเพื่อพิมพ์และส่งจดหมายหาลูกค้า

คำตอบมีเพียงแค่ว่า "ภาพลักษณ์" เท่านั้นเอง เราต้องรักษาภาพลักษ์ของเราให้ดูดี เราต้องสร้างภาพลักษณ์ของค่ายนี้ให้ดูดี

นี่เป็นผลจากระบบทุนนิยมหรือเปล่านะ? วีร์กิจบอกว่า ถ้าเราอยู่ในจีน รัฐบาลอาจจะบังคับเราให้ใช้ฟิวเจอร์บอร์ดจากค่ายอื่นก็ได้?

สิ่งที่คิดต่อก็คือ เมื่อไหร่เราจะสามารถสร้างภาพลักษณ์ที่ดี พร้อม ๆ กับการประหยัดทรัพยากรได้

ในสิ่งที่ย่อยที่สุดที่คิดตอนนี้ก็คือ อาจจะหาระบบการจัดการทรัพยากรณ์ อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เรามี (ชมรมมี) อย่างมีระบบเพื่อการใช้ของเก่าที่ยังใช้งานได้ให้เป็นประโยชน์สูงสุด อย่างงานวันนี้ เรามีการเก็บอุปกรณ์ประเภทคัตเตอร์ ไม้บรรทัด มาร์คเกอร์อย่างเป็นระบบระเบียบ ทำให้ % ของหายลดลง และสามารถนำมาใช้งานในวันนี้ได้อย่างสะดวกสบาย แทนที่จะซื้อใหม่

สรุป ระบบการจัดการอุปกรณ์และพัสดุ น่าจะเป็นสิ่งที่เราไม่ควรมองข้าม เพราะนอกจากมันจะเป็นการรักษาทรัพยากรธรรมชาติอย่างอ้อม ๆ ทางหนึ่งแล้ว...

มันยังเป็นการประหยัดเงินของชมรมด้วย...